พระราชบัญญัติ
                    บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 14)
                              พ.ศ. 2526
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2526
                        เป็นปีที่ 38 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 14)
พ.ศ. 2526"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา3ให้ยกเลิกความในบทนิยามคำว่า "เงินเดือนเดือนสุดท้าย" ในมาตรา 4 แห่ง
พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของ
คณะปฏิวัติ ฉบับที่ 125 ลงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2515 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   ""เงินเดือนเดือนสุดท้าย" หมายความว่า เงินเดือนที่ได้รับจากเงินงบประมาณประเภท
เงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ออกจากราชกการรวมทั้งเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับค่าวิชาและหรือ
เงินเพิ่มการเลื่อนฐานะและหรือสำหรับประจำตำแหน่งที่ต้องฝ่าอันตรายเป็นปกติและหรือสำหรับ
การสู้รบ และหรือสำหรับการปราบปรามผู้กระทำความผิด แต่ไม่รวมถึงเงินเพิ่มอย่างอื่น ๆ ส่วน
ข้าราชการตำรวจซึ่งกรมตำรวจสั่งแต่งตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการตำรวจโดยได้รับเงินเดือนจาก
ผู้ว่าจ้าง เงินเดือนเดือนสุดท้าย หมายความว่า เงินเดือนที่ผู้ว่าจ้างจ่ายตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ตามอัตราเงินเดือนในบัญชีต่อท้ายกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการตำรวจเดือนสุดท้ายที่ออกจาก
ราชการ รวมทั้งเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับค่าวิชา และหรือเงินเพิ่มการเลื่อนฐานะ และหรือ
สำหรับประจำตำแหน่งที่ต้องฝ่าอันตรายเป็นปกติ และหรือสำหรับการสู้รบ และหรือสำหรับ
การปราบปรามผู้กระทำความผิด แต่ไม่รวมเงินเพิ่มอย่างอื่น ๆ "

   มาตรา 4 ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า "ทายาทผู้มีสิทธิ" ระหว่างบทนิยามคำว่า "แพทย์ที่ทาง
ราชการรับรอง" และ "ผู้อุปการะ" ในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 10)
พ.ศ. 2517 ดังต่อไปนี้
   ""ทายาทผู้มีสิทธิ" หมายความว่า
   (1) บุตรและให้หมายความรวมถึงบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
ของผู้ตายซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่บิดาตายหรือนับแต่
วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดา
   (2) สามีหรือภริยา
   (3) บิดาและมารดา

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 4)
พ.ศ. 2499 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 44 บำนาญพิเศษที่บัญญัติในลักษณะนี้ ให้จ่ายแก่ทายาทผู้มีสิทธิตามเกณฑ์ดังนี้
   (1) บุตร ให้ได้รับสองส่วน ถ้าผู้ตายมีบุตรตั้งแต่สามคนขึ้นไปให้ได้รับสามส่วน
   (2) สามีหรือภรรยา ให้ได้รับหนึ่งส่วน
   (3) บิดามารดา หรือบิดา หรือมารดา ที่มีชีวิตอยู่ ให้ได้รับหนึ่งส่วน
   ถ้าผู้ตายไม่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษในอนุมาตราใดดังกล่าว หรือทายาทนั้นได้ตาย
ไปก่อน ให้แบ่งบำนาญพิเศษนั้นระหว่างทายาทผู้มีสิทธิตามส่วนในอนุมาตราที่มีทายาทผู้มีสิทธิได้
บำนาญพิเศษ
   ถ้าได้มีการจ่ายบำนาญพิเศษไปแล้ว หากปรากฏว่ามีบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็น
บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายในหนึ่งปีนับ
แต่วันที่บิดาตายหรือนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดาเพิ่มขึ้น ให้แบ่งบำนาญ
พิเศษนั้นใหม่ระหว่างทายาทผู้มีสิทธิโดยถือว่าบุตรชอบด้วยกฎหมายตามคำพิพากษานั้นเป็นทายาท
ผู้มีสิทธิตั้งแต่วันตามของเจ้าบำนาญ กรณีเช่นนี้ให้กระทรวงการคลังหักเอาจากทายาทซึ่งรับบำนาญ
พิเศษไปก่อนแล้วคืนตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
   กรณีที่ไม่สามารถหักเงินบำนาญพิเศษที่จ่ายให้ทายาทซึ่งรับเกินไปในส่วนของตนตามวรรคสามคืน
ได้ กระทรวงการคลังไม่ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินบำนาญพิเศษให้แก่บุตรซึ่งได้มีคำพิพากษาของศาลว่า
เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายย้อนหลังไปถึงวันเกินสิทธิรับบำนาญพิเศษแต่อย่างใด
   ถ้าไม่มีทายาทผู้มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษดังกล่าวทั้ง 3 อนุมาตรา ให้บุคคลซึ่งเจ้ากระทรวง
พิจารณาเห็นว่ามีหลักฐานแสดงได้ว่าเป็นผู้อุปการะผู้ตายอยู่หรือเป็นผู้อยู่ในความอุปการะของผู้ตาย
เป็นผู้รับบำนาญพิเศษตามส่วนที่เจ้ากระทรวงจะได้กำหนดให้ และเมื่อได้จ่ายบำนาญพิเศษ
ให้แก่ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในความอุปการะของผู้ตายแล้วหากปรากฏภายหลังว่า มีบุตรซึ่งได้มีคำพิพากษา
ของศาลว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายใน
หนึ่งปีนับแต่วันที่บิดาหรือนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดาให้สั่งจ่ายบำนาญพิเศษให้
แก่บุตรซึ่งศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว กรณีเช่นนี้ถ้าไม่สามารถเรียกเงินบำนาญ
พิเศษที่จ่ายให้ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในความอุปการะของผู้ตายรับไปแล้วคืนได้ให้นำความในวรรคสาม
และวรรคสี่มาใช้บังคับโดยอนุโลม
   เมื่อบุคคลซึ่งได้รับบำนาญพิเศษอยู่ตามที่กล่าวข้างต้นตามหรือหมดสิทธิไป ให้ส่วนที่ผู้นั้นได้รับอยู่
เป็นอันยุติลงเพียงนั้น"

   มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 5)
พ.ศ. 2502 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 48 ข้าราชการผู้ใดตายในระหว่างรับราชการอยู่หรือทหารกองหนุนมีเบี้ยหวัดตาย
ถ้าความตายนั้นมิได้เกิดขึ้นเนื่องจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของตนเอง ให้จ่ายเงินเป็น
บำเหน็จตกทอดเป็นจำนวนตามเกณฑ์คำนวณในมาตรา 32 (1) ให้แก่บุคคลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา44
และให้จ่ายตามส่วนและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรานั้นแต่บุตรซึ่งมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วใน
วันที่ข้าราชการผู้นั้นตาย ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตกทอด เว้นแต่กำลังศึกษาในชั้นเตรียมอุดมศึกษา
หรือชั้นอุดมศึกษา หรือชั้นการศึกษาที่ทางราชการรับรองให้รับรองให้เทียงเท่า และยังมีอายุไม่
เกินยี่สิบหกปีบริบูรณ์ หรือเว้นแต่เป็นบุคคลซึ่งพิการถึงทุพพลภาพ"

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัตินี้บำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. 2494 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 5)
พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 49 ภายใต้บังคับมาตรา 38 ผู้ได้รับบำนาญปกติอยู่หรือผู้มีสิทธิจะได้รับบำนาญปกติ
หรือผู้ได้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ ตาย ให้จ่ายเป็นบำเหน็จตกทอดให้แก่บุคคลดัง
ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 44 เป็นจำนวนสามสิบเท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับนั้น
และให้จ่ายตามส่วนและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในมาตรานั้น แต่บุตรซึ่งมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วใน
วันที่ข้าราชการผู้นั้นตายไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตกทอด เว้นแต่กำลังศึกษาในชั้นเตรียมอุดมศึกษา
หรือชั้นอุดมศึกษา หรือชั้นการศึกษาที่ทางราชการรับรองให้เทียงเท่าและยังมีอายุไม่เกินยี่สิบหกปี
บริบูรณ์ หรือเว้นแต่เป็นบุคคลซึ่งพิการถึงทุพพลภาพ"

   มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พ.ศ. 2494 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 51 เมื่อกระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการเจ้าสังกัดซึ่งมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม
หรือจังหวัด แล้วแต่กรณีได้รับเรื่องราวขอรับบำเหน็จบำนาญแล้วให้รีบตรวจสอบ และนำส่งให้
ถึงกระทรวงการคลังภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันรับ ทั้งนี้ เว้นแต่ความล่าช้าเป็นเพราะความผิด
ของผู้ขอหรือส่วนราชการเจ้าสังกัดแล้วแต่กรณี
   การขอให้สั่งจ่ายและการสั่งจ่ายบำเหน็จหรือบำนาญ ให้เป็นไปตามระเบียบที่
กระทรวงการคลังกำหนด"

   มาตรา 9 ในกรณีที่มีผู้ได้รับเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนสำหรับการปราบปรามผู้กระทำความผิด
ตามระเบียบนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. 2521 อยู่
ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เงินเพิ่มพิเศษดังกล่าวมีผลใช้บังคับในการรวมเป็นเงินเดือน
เดือนสุดท้ายตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521

   มาตรา 10 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
   พลเอกป. ติณสูลานนท์
       นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ  โดยที่เป็นการสมควรแก้ไข
เพิ่มเติมพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ให้รวมเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน
สำหรับการปราบปรามผู้กระทำความผิด (พ.ป.ผ.) เข้ากับเงินเดือนเดือนสุดท้าย เพื่อการ
คำนวณบำเหน็จบำนาญ โดยให้มีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. 2521 และสมควรให้บุตรที่ได้มีคำพิพากษา
ของศาลว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษและบำเหน็จตกทอดได้
เพื่อให้สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ฉบับปัจจุบัน และสมควรให้ทบวง
กรมหรือส่วนราชการเจ้าสังกัดซึ่งมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม หรือจังหวัด มีอำนาจส่งเรื่องราวขอรับ
บำเหน็จบำนาญได้เช่นเดียวกับกระทรวงเจ้าสังกัดและให้การสั่งจ่ายบำเหน็จบำนาญเป็นไปตาม
ระเบียบของกระทรวงการคลังโดยให้รับตรวจสอบและนำส่งให้ถึงกระทรวงการคลังภายใน
สามสิบวันนับแต่วันรับ และให้กระทรวงการคลังรีบพิจารณาสั่งภายในยี่สิบเอ็ดวันนับแต่วันรับ
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 100  ตอนที่ 170 หน้า 13  24 ตุลาคม 2526)