พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2525 เป็นปีที่ 37 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและ ยินยอมของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติมาตรา 16 มาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 20 และมาตรา 21 ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้ของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือ หลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2522 เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน "มาตรา 3 ทวิ ถ้าเจ้าพนักงานดังต่อไปนี้ เห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรต้องได้รับโทษจำคุก หรือไม่ควรถูกฟ้องร้อง ให้มีอำนาจเปรียบเทียบโดยกำหนดค่าปรับแต่สถานเดียวในความผิด ต่อไปนี้ เว้นแต่ความผิดตามมาตรา 13 คือ (1) ความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษปรับหรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้ง ปรับทั้งจำซึ่งโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร ให้เป็นอำนาจของอธิบดี ถ้า เกิดขึ้นในจังหวัดอื่นให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด (2) ความผิดที่มีโทษปรับหรือโทษจำคุกเกินหกเดือน แต่ไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ซึ่งโทษจำคุกเกินหกเดือนแต่ไม่เกินหนึ่งปีให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยอธิบดี อธิบดีกรมการปกครองและอธิบดีกรมตำรวจ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ถ้าผู้ต้องหาใช้ค่าปรับตามที่เปรียบเทียบภายในระยะเวลาที่ผู้มีอำนาจเปรียบเทียบ กำหนดแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันคุ้มผู้ต้องหามิให้ถูกฟ้องร้องต่อไปในกรณีแห่งความผิดนั้น ถ้าผู้มีอำนาจเปรียบเทียบตามวรรคหนึ่งเห็นว่า ไม่ควรใช้อำนาจเปรียบเทียบ หรือเมื่อ เปรียบเทียบแล้วผู้ต้องหาไม่ยอมตามที่เปรียบเทียบหรือยอมแล้วแต่ไม่ชำระค่าปรับภายใน ระยะเวลาที่ผู้มีอำนาจเปรียบเทียบกำหนด ให้ดำเนินการฟ้องร้องต่อไปและในกรณีนี้ ห้ามมิให้ ดำเนินการเปรียบเทียบตามกฎหมายอื่นอีก"
มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน "มาตรา 3 เบญจ เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ให้อธิบดี มีอำนาจเข้าไปหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานสรรพากรเข้าไปในสถานที่หรือ ยานพาหนะใดเพื่อทำการตรวจค้น ยึดหรืออายัดบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่น ที่เกี่ยวกันหรือ สันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะต้องเสียได้ทั่วราชอาณาจักร ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือสรรพากรเขต มีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีตามวรรคหนึ่ง สำหรับในเขตท้องที่จังหวัดหรือเขตนั้น การทำการตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ต้องทำในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึง พระอาทิตย์ตก หรือในระหว่างเวลาทำการของผู้ประกอบกิจการนั้น"
มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 3 เอกาทศ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 3 เอกาทศ เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร และผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้มีและใช้เลขประจำตัว ในการปฏิบัติการตามประมวลรัษฎากรได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีกำหนด ทั้งนี้โดย อนุมัติรัฐมนตรี การกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 206 ลงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2515 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 4 ทศ ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายสั่งให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงิน ภาษีอากรในอัตราร้อยละ 12 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิด ทบต้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง ดอกเบี้ยที่ให้ตามวรรคหนึ่ง มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน และให้จ่าย จากเงินภาษีอากรที่จัดเก็บได้ตามประมวลรัษฎากรนี้"
มาตรา 7 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 10 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร "มาตรา 10 ทวิ เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากรอธิบดีมีอำนาจเปิดเผย รายละเอียด ดังต่อไปนี้ (1) ชื่อผู้ประกอบการค้าที่ถูกกำหนดรายรับ และจำนวนรายรับที่ถูกกำหนด หรือจำนวน ภาษีที่ถูกประเมินเพิ่มเติม (2) ชื่อผู้เสียภาษีอากรและจำนวนภาษีอากรที่เสีย (3) ชื่อผู้สอบบัญชี และพฤติการณ์ของผู้สอบบัญชีเกี่ยวกับการตรวจสอบและรับรองบัญชี ตามมาตรา 3 สัตต ทั้งนี้ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในวรรคสามของมาตรา 17 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2484 และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน "เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร (1) ให้อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งบุคคลเป็นการทั่วไปให้มีบัญชีพิเศษ และให้ กรอกข้อความที่ต้องการลงในบัญชีนั้นคำสั่งเช่นว่านี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (2) ให้อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้ยื่นรายการหรือผู้ต้องเสียภาษีอากรจัดทำบัญชีงบดุล หรือบัญชีอื่น ๆ แสดงรายการหรือแจ้งข้อความใด ๆ และยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินพร้อมกับ การยื่นรายการตามแบบแสดงรายการที่อธิบดีกำหนด"
มาตรา 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสี่ของมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2483 "การประเมินตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้นำมาตรา 27 มาใช้บังคับโดยอนุโลม"
มาตรา 10 ให้ยกเลิกความในมาตรา 22 แห่งประมวลรัษฎากรและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 22 ในการประเมินตามมาตรา 20 หรือมาตรา 21 ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิด เสียเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระอีก"
มาตรา 11 ให้ยกเลิกความในมาตรา 26 แห่งประมวลรัษฎากรและให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 26 เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในลักษณะนี้ ในการประเมินตามมาตรา 24 หรือมาตรา 25 ผู้ต้องเสียภาษีต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องชำระ"
มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในมาตรา 27 แห่งประมวล รัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน "มาตรา 27 เงินภาษีที่บุคคลใดจะต้องเสียหรือนำส่งตามบทบัญญัติในหมวดต่าง ๆ แห่ง ลักษณะนี้เกี่ยวกับภาษีอากรประเมิน ให้เสียหรือนำส่งภายในเวลาตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนั้น ๆ ถ้าไม่เสียหรือไม่นำส่งภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้บุคคลนั้นเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อ เดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งโดยไม่รวมเบี้ยปรับ ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาชำระภาษี และได้มีการชำระภาษีภายใน กำหนดเวลาที่ขยายให้นั้น เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ลดลงเหลือร้อยละ 0.75 ต่อเดือน หรือ เศษของเดือน สำหรับเงินภาษีที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งให้เสีย ถ้าไม่มีบทบัญญัติในหมวดต่าง ๆ กำหนดเวลาไว้เป็นอย่างอื่น ให้เสียหรือนำส่งภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งจำนวนเงิน ภาษี และถ้าไม่เสียหรือไม่นำส่งต้องเสียเงินเพิ่มตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง การคำนวณเงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มนับเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่น รายการหรือนำส่งภาษีจนถึงวันชำระหรือวันนำส่งภาษีแต่มิให้เกินจำนวนภาษีที่ต้องเสียหรือส่ง"
มาตรา 13 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 27 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร "มาตรา 27 ทวิ เบี้ยปรับตามมาตรา 22 และมาตรา 26 และเงินเพิ่มตามมาตรา 27 ให้ถือเป็นเงินภาษี เบี้ยปรับตามวรรคหนึ่ง อาจงดหรือลดลงได้ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด โดยอนุมัติ รัฐมนตรี ระเบียบดังกล่าวนี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
มาตรา 14 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (3) ของบทนิยาม"บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล " ในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2521 "(3) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่ รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามมาตรา 47 (3) (ข)"
มาตรา 15 ให้ยกเลิกความในมาตรา 57 จัตวา แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2520 และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 57 จัตวา ภายใต้บังคับมาตรา 64 การยื่นรายการตามมาตรา 56 มาตรา 57 มาตรา 57 ทวิ มาตรา 57 ตรี หรือมาตรา 57 เบญจ ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้ชำระต่อ อำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ภายในกำหนดเวลา พร้อมกับการอื่นรายการ"
มาตรา 16 ให้ยกเลิกความใน (2) วรรคหนึ่ง และ (9) ของมาตรา 65 ทวิ แห่ง ประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2502 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(2) ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ให้หักได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (9) การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ จะกระทำได้ต่อเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวงแต่ถ้าได้รับชำระหนี้ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้ นำมาคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หนี้สูญรายใดได้นำมาคำนวณเป็นรายได้แล้ว หากได้รับชำระในภายหลังก็มิให้นำมา คำนวณเป็นรายได้อีก"
มาตรา 17 ให้ยกเลิกความใน (5) วรรคหนึ่ง ของมาตรา 65 ทวิ แห่ง ประมวลรัษฎากร และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(5) เงินตรา ทรัพย์สิน หรือหนี้สิน ซึ่งมีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ เหลืออยู่ในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณค่าหรือราคาของเงินตราหรือทรัพย์สิน เป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้ คำนวณไว้หรือคำนวณตามราคาทุน และแต่อย่างใดจะน้อยกว่า ส่วนการคำนวณค่าของหนี้สินให้ คำนวณค่าหรือราคาเป็นเงินตราไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขาย ซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้"
มาตรา 18 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (13) ของมาตรา 65 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2522 "(13) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ไม่ต้องนำเงินค่าลงทะเบียนหรือ ค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิกหรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือจากการให้โดย เสน่หา แล้วแต่กรณีมารวมคำนวณเป็นรายได้"
มาตรา 19 ให้ยกเลิกความใน (2) และ (6) ของมาตรา 65 ตรี แห่ง ประมวลรัษฎากร และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(2) เงินกองทุน เว้นแต่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ เงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง (6) เบี้ยปรับและหรือเงินเพิ่มภาษีอากร ค่าปรับทางอาญาภาษีเงินได้ของบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล"
มาตรา 20 ให้ยกเลิกความในมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 และให้ใช้ความ ต่อไปนี้แทน "มาตรา 69 ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีให้บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีตามมาตรา 65 มาตรา 65 ทวิมาตรา 66 และมาตรา 67 เกี่ยวกับรายรับรายจ่าย กำไรสิทธิและรายการอื่น ๆ ต่อ เจ้าพนักงานประเมินตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมด้วยบัญชีงบดุล บัญชีทำการและบัญชีกำไร ขาดทุน บัญชีรายรับรายจ่ายหรือบัญชีรายรับก่อนหักรายจ่ายที่มีบุคคลตามมาตรา 3 สัตต ตรวจสอบและรับรองในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว แล้วแต่กรณี"
มาตรา 21 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (ค) ของ (2) ของบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้าย หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2523 "(ค) ภาษีจากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของมูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งปี รายได้อัน มิใช่รายได้ตามมาตรา 65 ทวิ (13) ร้อยละ 5"
มาตรา 22 ให้ยกเลิกความใน (3) ของมาตรา 78 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และ ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(3) กิจการของสถานศึกษาของทางราชการและโรงเรียนราษฎร์ ซึ่งได้ตั้งขึ้นตาม กฎหมายว่าด้วยโรงเรียนราษฎร์ แต่ไม่รวมถึง (ก) กิจการของโรงเรียนราษฎร์ประเภทโรงเรียนอาชีวศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับ การขายของ การรับจ้างทำของ หรือการให้บริการอื่นใด ทั้งนี้ เฉพาะที่ได้จากผู้ซึ่งมิใช่เป็น นักเรียนของกิจการดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง (ข) กิจการของโรงเรียนกวดวิชา ที่มิใช่โรงเรียนกวดวิชาสอบเทียบระดับ ประถมศึกษา มัธยมต้น และมัธยมปลาย เพื่อรับประกาศนียบัตรของกระทรวงศึกษาธิการ"
มาตรา 23 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (8) ของมาตรา 79 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 "(8) การที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมนำสินค้าที่ซื้อจากผู้ผลิตซึ่งได้รับการลดอัตราภาษี การค้าตามลักษณะและประเภทของสินค้า และตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดี ประกาศกำหนดไปใช้ในการใด ๆ ที่มิใช่การผลิตของตนเอง"
มาตรา 24 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 79 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ในกรณีตาม (1) (4) (5) และ (8) ให้ถือว่าผู้นำสินค้าเข้า ผู้เป็นเจ้าของสินค้าที่ ทำหรือดัดแปลง หรือผู้ประกอบอุตสาหกรรม แล้วแต่กรณีเป็นผู้ประกอบการค้าตามที่ระบุในบัญชี อัตราภาษีการค้า"
มาตรา 25 ให้ยกเลิกความใน (9) ของมาตรา 79 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2508 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "(9) การขายน้ำอัดลมของภัตตาคารและประเภทการค้า 7(ง) แห่งบัญชีอัตราภาษี การค้า"
มาตรา 26 ให้ยกเลิกความในมาตรา 80 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 23) พ.ศ. 2521 และให้ใช้คาม ต่อไปนี้แทน "มาตรา 80 ทวิ ให้ผู้ประกอบการค้าที่มีรายรับเฉพาะที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ได้รับยกเว้น การจดทะเบียนตามส่วนนี้ คือ (1) มาตรา 79 ทวิ (1) (4) (5) หรือ (8) (2) มาตรา 79 เบญจ (3) ประเภทการค้า 3. แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า (4) ประเภทการค้า 5. แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้า ซึ่งให้เช่าเฉพาะเครื่องเรือนและ ของใช้ที่ใช้ประจำอยู่กับโรงเรียนที่ให้เช่า"
มาตรา 27 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 84 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "ผู้ประกอบการค้าที่มีรายรับเฉพาะที่ระบุไว้ในมาตรา 79 ทวิ(1) (4) (5) หรือ (8) ให้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าตามแบบที่อธิบดีกำหนดเป็นรายครั้งที่มีรายรับ"
มาตรา 28 ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งและวรรคสองของมาตรา 89 ทวิ แห่ง ประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2504 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 89 ทวิ ผู้ประกอบการค้าใดไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลาตามส่วน 6 ให้ เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระโดยไม่รวม เบี้ยปรับตามมาตรา 89 ในกรณีที่อธิบดีอนุมัติให้ขยายกำหนดเวลาชำระภาษี และได้มีการชำระภาษีภายใน กำหนดเวลาที่ขยายให้นั้น เงินเพิ่มตามวรรคหนึ่งให้ลดลงเหลือร้อยละ 0.75 ต่อเดือนหรือเศษ ของเดือน"
มาตรา 29 บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัตินี้ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไป เฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่ หรือ ที่พึงชำระก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ บทบัญญัติมาตรา 65 ทวิ (2) วรรคหนึ่ง และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา 65 ตรี (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ยังคงใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะมีการออก พระราชกฤษฎีกา หรือออกกฎกระทรวง ตามบทบัญญัติซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ๆ
มาตรา 30 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือโดยที่เป็นการสมควรแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพื่อความเป็นธรรม ความชัดเจน ความรัดกุม และความเหมาะสมแก่ สถานการณ์และเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีอากรให้ได้ผลดียิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตรา พระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 99 ตอนที่ 91 หน้า 1 2 กรกฎาคม 2525) |