พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2525 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 เป็นปีที่ 37 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2525"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 15 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 15 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีและมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมี คำสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษานายเดียวมีอำนาจดังที่ระบุไว้ในมาตรา 21 และมาตรา 22 (1) ถึง (5) ในกรณีที่พิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 22 (5) ถ้าศาลแขวงเห็นว่าควรลงโทษจำคุก จำเลยเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้น อย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้ว ก็ให้มีอำนาจพิพากษาได้ แต่จะต้องให้ ผู้พิพากษาอีกอย่างน้อยนายหนึ่งตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะด้วย"
มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 22 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 22 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษานายเดียวมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของ ศาลนั้นดังต่อไปนี้ (1) ทำการไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีแพ่ง (2) ทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา (3) ทำการไต่สวนและมีคำสั่งในการชันสูตรพลิกศพตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินหนึ่ง หมื่นบาท (5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุก ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ทั้งนี้จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้ง สองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้ (6) พิจารณาคดีแพ่งซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาท หรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินหนึ่งหมื่นบาทแต่ ไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือคดีอาญา ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกิน สามปีแต่ไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับเกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในคดีที่ผู้พิพากษานายเดียวมีแต่เพียงอำนาจพิจารณา ไม่มีอำนาจพิพากษาตาม (5) หรือ (6) เมื่อจะพิพากษาคดีจะต้องมีผู้พิพากษาอีกอย่างน้อยนายหนึ่งตรวจสำนวนและ ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะด้วย" ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ป. ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือตามที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พระธรรมนูญศาลยุติธรรมเกี่ยวกับอำนาจของศาลแขวงและผู้พิพากษานายเดียวชั้นต้น โดยตัด อำนาจทำการไต่สวนและมีคำสั่งในการชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาออก เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 333 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ที่ให้ยกเลิกการ ไต่สวนและมีคำสั่งในกรณีดังกล่าวโดยศาลนั้น บัดนี้ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2523 ซึ่งบัญญัติให้นำการ ไต่สวนในศาลกลับมาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวอีก สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ให้สอดคล้องกันเพื่อให้ศาลแขวงและผู้พิพากษานายเดียวในศาลชั้นต้นมีอำนาจทำการไต่สวนและ มีคำสั่งในการชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้เช่นเดิม ทั้งนี้ เพื่อ ความสะดวกและรวดเร็วจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 99 ตอนที่ 33 หน้า 1 5 มีนาคม 2525) |