พระราชบัญญัติ
                         ส่งเสริมกิจการฮัจย์
                            พ.ศ. 2524
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                 ให้ไว้ ณ วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2524
                      เป็นปีที่ 36 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมกิจการฮัจย์
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. 2524"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป

      มาตรา 3 ให้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 111 ลงวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2515
      บรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้
หรือที่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

      มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
      "กิจการฮัจย์" หมายความว่า กิจการใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเดินทางของชาวไทยผู้นับถือ
ศาสนาอิสลามเพื่อไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ไม่ว่าจะ
เป็นการจัดบริการ การอำนวยความสะดวกหรือความปลอดภัยก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง
ระหว่างประกอบพิธีฮัจย์ หรือการเดินทางกลับถึงภูมิลำเนา รวมทั้งกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการ
ดังกล่าวตามที่คณะกรรมการกำหนด
      "การรับจัดบริการขนส่ง" หมายความว่า การรับจ้างขนส่งหรือรวบรวมบุคคลและ
สัมภาระในการรับจ้างขนส่งโดยพาหนะใด ๆ จากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งในกิจการฮัจย์
      "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย
      "เลขาธิการ" หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย

      มาตรา 5 กิจการดังต่อไปนี้ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ
      (1) การรับจัดบริการขนส่ง
      (2) การจัดบริการอื่นที่เกี่ยวกับกิจการฮัจย์ตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนดใน
ราชกิจจานุเบกษา
      (3) การโฆษณาหรือกระทำการอื่นใดอันมีลักษณะเป็นการชักชวนเพื่อให้ใช้หรือรับ
บริการตาม (1) หรือ (2) อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ในทางธุรกิจสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
โดยผู้กระทำมิได้เป็นตัวแทนหรือเจ้าหน้าที่ของบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการตาม (1)
และ (2)
      การอนุญาตของคณะกรรมการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด
ในกฎกระทรวง

      มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์
แห่งประเทศไทย" ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานกรรมการ
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวง
มหาดไทย ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนกรมการปกครอง
ผู้แทนกรมตำรวจผู้แทนกรมประชาสงเคราะห์ ผู้แทนกรมประมวลข่าวกลาง ผู้แทนสำนักงาน
สภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นไม่
เกินสี่คนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ
      ให้เลขาธิการเป็นกรรมการและเลขานุการ

      มาตรา 7 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการซึ่งพ้นจาก
ตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้

      มาตรา 8 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งก่อนถึงคราวออกตามวาระ เมื่อ
      (1) ตาย
      (2) ลาออก
      (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก
      ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ใน
ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่ง
เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น

      มาตรา 9 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ
จำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
      การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการ
ลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียง
ชี้ขาด

      มาตรา 10 การประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่
สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานกรรมการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ถ้า
ประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม

      มาตรา 11 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
      (1) กำหนดระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข หรือมาตรการใด ๆเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในอันที่
จะให้ความคุ้มครองผู้ที่ประสงค์จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัยและ
มีหลักประกัน
      (2) กำหนดระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข หรือมาตรการใด ๆ ในการควบคุมกิจการ
ซึ่งต้องได้รับอนุญาตตามมาตรา 5
      (3) ปฏิบัติการอื่นใดอันอยู่ในขอบเขตแห่งกิจการฮัจย์ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตาม
กฎหมายอื่นที่ให้อำนาจไว้
      ระเบียบ ข้อบังคับ เงื่อนไข หรือมาตรการตาม (2) เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา
แล้วให้ใช้บังคับได้

      มาตรา 13 ให้นำมาตรา 9 และมาตรา 10 มาใช้บังคับแก่การประชุมอนุกรรมการโดยอนุโลม

      มาตรา 14 ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการโดยตำแหน่งและให้กรมการศาสนา
ทำหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย มีอำนาจหน้าที่ดัง
ต่อไปนี้
      (1) ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการหรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
      (2) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงานเกี่ยวกับการส่งเสริมกิจการฮัจย์กับ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
      (3) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งปฏิบัติการให้เป็นไปตาม
กฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้และตามระเบียบ ข้อบังคับของคณะกรรมการ
      (4) ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ

      มาตรา 15 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 5 (1) หรือ (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
ห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

      มาตรา 16 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 5 (3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับ
ไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

      มาตรา 17 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับเงื่อนไข หรือมาตรการใด ๆ
ซึ่งออกตามมาตรา 11 (2) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

      มาตรา 18 ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดและถูกลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าผู้แทนนิติบุคคลเป็นผู้กระทำความผิดและต้องระวางโทษเช่นเดียวกับนิติบุคคลนั้นด้วย
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้นหรือได้จัดการตามสมควรเพื่อ
ป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว

      มาตรา 19 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และ
ให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
      กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือโดยที่การเดินทางไป
ประกอบพิธีฮัจย์ของชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
เป็นศาสนบัญญัติอันจำเป็นในทางศาสนาอิสลาม และมีชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามเดินทางไป
ประกอบพิธีฮัจย์แต่ละปีเป็นจำนวนมาก ในการนี้รัฐบาลได้ให้ความอนุเคราะห์ส่งเสริมการไป
ประกอบพิธีฮัจย์ตลอดมาแต่ยังมีอุปสรรคบางประการทางกฎหมายที่สมควรได้รับการแก้ไขเพื่อให้
การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม ได้รับการส่งเสริมอย่าง
ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งในทางหลักศาสนา ความสะดวก ปลอดภัยมีหลักประกันในการเดินทาง และ
ป้องกันการหาประโยชน์อันมิชอบทั้งให้สมประโยชน์ในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม
ของประเทศจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 99 ตอนที่ 18 หน้า 23 9 กุมภาพันธ์ 2525)