พระราชบัญญัติ
             ชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตในราชอาณาจักร
                            พ.ศ. 2524
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                  ให้ไว้ ณ วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2524
                      เป็นปีที่ 36 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตใน
ราชอาณาจักร
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่
ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. 2524"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

      มาตรา 3 บรรดาบทกฎหมาย กฎ ประกาศ ระเบียบหรือข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้
แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือที่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

      มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
      "สินค้า" หมายความว่า สินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร
      "ผลิต" หมายความว่า ประกอบ แปรรูป แปรสภาพ หรือทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้มี
ขึ้นซึ่งสินค้า ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ
      "การส่งสินค้าออก" หมายความว่า
      (1) การส่งของออกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
      (2) การขายสินค้าให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ตามโครงการเงินกู้หรือ
เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ตามที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 11 (7)
      (3) การขายสินค้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคที่ว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตาม
กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรให้แก่องค์การระหว่างประเทศหรือหน่วยงานใดที่มีสิทธินำ
สินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 11 (8)
      "เงินชดเชย" หมายความว่า เงินที่จะจ่ายชดเชยค่าภาษีอากรซึ่งมีอยู่ในต้นทุนการผลิต
สินค้าส่งออก ให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยในรูปของบัตรภาษี
      "ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย" หมายความว่า ผู้ทำการส่งสินค้าออกตามพระราชบัญญัตินี้
      "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการพิจารณาชดเชย ค่าภาษีอากรสินค้าส่งออก
ที่ผลิตในราชอาณาจักร
      "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
      "อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมศุลกากร
      "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

      มาตรา 5 ให้มีคณะกรรมการพิจารณาชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกที่ผลิตใน
ราชอาณาจักรคณะหนึ่ง ประกอบด้วยปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ อธิบดี
กรมศุลกากร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกินห้าคนซึ่ง
คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง เป็นกรรมการ
      กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะต้องไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในทางการเมือง
กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง หรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง
ในกิจการที่อาจได้รับเงินชดเชย
      คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นเลขานุการคณะกรรมการก็ได้

      มาตรา 6 ให้กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการ
ซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้
      ให้กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งใหม่

      มาตรา 7 นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 6 กรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรี
แต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
      (1) ตาย
      (2) ลาออก
      (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก
      (4) เป็นบุคคลล้มละลาย
      (5) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
      (6) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่
ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
      (7) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 5 วรรคสอง
      ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ใน
ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่ง
เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น

      มาตรา 8 การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ
จำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
      การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการ
ลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียง
ชี้ขาด

      มาตรา 9 การประชุมคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่
สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม

      มาตรา 10 ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างใด
อย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
      ให้นำมาตรา 8 และมาตรา 9 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการ

      มาตรา 11 คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
      (1) กำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับชนิดและหรือประเภทสินค้าที่จะได้รับเงินชดเชย
      (2) กำหนดชนิดและหรือประเภทสินค้าที่ไม่ได้รับเงินชดเชยตามมาตรา 12 (3)
      (3) ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงอัตราเงินชดเชย
      (4) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและกำหนดเวลา การจ่ายเงินชดเชย
      (5) กำหนดภาษีอากรที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยจะนำบัตรภาษีไปชำระได้ตามมาตรา 18 (4)
      (6) กำหนดภาษีอากรที่ยกเว้นไม่จ่ายเงินชดเชยตามมาตรา 13 (5)
      (7) กำหนดหลักเกณฑ์การขายสินค้าให้แก่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามโครงการ
เงินกู้หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ ที่ให้ถือว่าเป็นการส่งสินค้าออกตามพระราชบัญญัตินี้
แต่ทั้งนี้ค่าของสินค้าดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วนจะต้องชำระจากเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือจาก
ต่างประเทศ
      (8) กำหนดประเภทสินค้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคที่ว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากร
ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรที่ขายให้แก่องค์การระหว่างประเทศหรือหน่วยงานใดที่
มีสิทธินำสินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ที่ให้ถือว่าเป็นการส่งสินค้าออกตามพระราชบัญญัตินี้
      (9) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
      การใช้อำนาจตาม (1) (2) (3) (4) (5) และ (6) จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับ
อนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา
      ภายใต้บังคับมาตรา 16 วรรคสอง การประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยตาม (1) ให้
ใช้บังคับตามวันที่กำหนดไว้ในประกาศแต่จะใช้บังคับก่อนวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ได้

      มาตรา 12 เมื่อคณะกรรมการได้กำหนดอัตราเงินชดเชยตามมาตรา 11 (1) แล้ว
การส่งสินค้าออกให้ได้รับเงินชดเชยตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่สินค้าดังต่อไปนี้ห้ามมิให้ได้รับ
เงินชดเชย
      (1) แร่ ตามกฎหมายว่าด้วยแร่
      (2) สินค้าที่ต้องเสียภาษีอากรหรือค่าธรรมเนียมเมื่อส่งออก
      (3) สินค้าที่คณะกรรมการกำหนดไม่ให้ได้รับเงินชดเชย

      มาตรา 13 ค่าภาษีอากรที่จะกำหนดเงินชดเชยให้ ได้แก่ภาษีอากรบรรดาที่มีอยู่ใน
มูลค่าของวัสดุ อุปกรณ์ อะไหล่ เครื่องจักร เชื้อเพลิง และพนังงานอย่างอื่นที่ใช้ในการผลิต
สินค้านั้น แต่ไม่รวมถึง
      (1) ภาษีเงินได้
      (2) ค่าภาคหลวง หรือค่าภาระอย่างอื่นที่เรียกเก็บจากทรัพยากรธรรมชาติ
      (3) ภาษีอากรที่อาจขอคืนได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว เว้นแต่กรณีที่ไม่ใช้สิทธิขอคืนตาม
กฎหมาย และคณะกรรมการเห็นสมควรให้ได้รับชดเชย
      (4) ภาษีอากรที่ราชการส่วนท้องถิ่นจัดเก็บเป็นรายได้ของราชการส่วนท้องถิ่น
      (5) ภาษีอากรตามที่คณะกรรมการกำหนด

      มาตรา 14 การกำหนดอัตราเงินชดเชยให้กำหนดเป็นอัตราทั่วไปเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุ
พิเศษจะกำหนดอัตราเงินชดเชยให้แตกต่างไปจากอัตราทั่วไปก็ได้ตามควรแก่กรณี
      การกำหนดอัตราเงินชดเชยตามวรรคหนึ่งจะกำหนดตามสภาพตามราคาส่งออกตาม
ประเภทพิกัดอัตราศุลกากร หรือตามชนิดหรือประเภทของของที่ส่งออก หรือโดยวิธีอื่นก็ได้
      ในกรณีที่กำหนดตามราคาส่งออก ให้ถือราคาสำหรับของขาออกตามกฎหมายว่าด้วย
ศุลกากรเป็นราคาส่งออก เว้นแต่กรณีที่มีการกำหนดราคาเฉลี่ยตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด
ให้ถือราคาเฉลี่ยดังกล่าวเป็นราคาส่งออก และราคาเฉลี่ยที่กำหนดจะใช้บังคับเกินหนึ่งปีมิได้

      มาตรา 15 ให้กรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต  กันเงินภาษีอากรที่
ส่วนราชการนั้นได้จัดเก็บหรือรับไว้เพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชย โดยไม่ต้องนำส่งเข้าเป็นรายได้
แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์
ที่รัฐมนตรีกำหนด
      การกันเงินภาษีอากรตามวรรคหนึ่ง จะต้องไม่เกินร้อยละหนึ่งของภาษีอากรที่ได้จัดเก็บ
หรือรับไว้ เว้นแต่ในกรณีมีเหตุอันควรรัฐมนตรีจะสั่งให้กันเพิ่มเกินร้อยละหนึ่งก็ได้ แต่จะต้องไม่
เกินร้อยละสอง

      มาตรา 16 ผู้ใดประสงค์จะให้มีการกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับสินค้าที่
คณะกรรมการยังมิได้กำหนดอัตราเงินชดเชย ให้ยื่นคำขอต่อคณะกรรมการเพื่อกำหนดอัตราเงิน
ชดเชยสำหรับสินค้านั้นได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
      ในกรณีที่มีการยื่นคำขอตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการจะประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชย
ให้มีผลบังคับย้อนหลังก็ได้ แต่จะย้อนหลังไปชดเชยสำหรับการส่งสินค้าออกที่กระทำไปก่อนวันที่มี
การยื่นคำขอเกินหกเดือนไม่ได้

      มาตรา 17 การขอรับเงินชดเชย ให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยซึ่งประสงค์จะขอรับเงิน
ชดเชยยื่นคำขอรับเงินชดเชยตามแบบและวิธีการที่กรมศุลกากรกำหนด และต้องยื่นคำขอภายใน
หนึ่งปีนับแต่วันส่งสินค้าออกเว้นแต่ในกรณีที่มีการกำหนดอัตราเงินชดเชยย้อนหลังตามมาตรา
16 วรรคสอง ผู้ที่มีสิทธิได้รับเงินชดเชยสำหรับการส่งสินค้าออกที่ได้กระทำไปก่อนวันประกาศ
กำหนดอัตราเงินชดเชยในราชกิจจานุเบกษา ต้องยื่นคำขอภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศดังกล่าว

      มาตรา 18 การจ่ายเงินชดเชยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการเงื่อนไข และกำหนด
เวลาที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 11 (4) โดยให้กรมศุลกากรจ่ายเป็นบัตรภาษีเพื่อให้
ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยนำไปชำระภาษีอากรดังต่อไปนี้
      (1) ภาษีอากรที่กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตจัดเก็บ ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับ
เงินชดเชยมีหน้าที่ต้องเสีย
      (2) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยมีหน้าที่ต้องนำส่งตามประมวลรัษฎากร
      (3) ภาษีอากรที่กรมศุลกากร กรมสรรพากร หรือกรมสรรพาสามิต
จัดเก็บแทนราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยมีหน้าที่ต้องเสีย
      (4) ภาษีอากรอื่นที่คณะกรรมการเห็นสมควรให้นำบัตรภาษีไปชำระได้

      มาตรา 19 บัตรภาษีมีสองชนิด คือ
      (1) ชนิดบอกราคา
      (2) ชนิดไม่บอกราคา
      แบบ ลักษณะ ราคาและรายละเอียดของบัตรภาษีให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

      มาตรา 20 บัตรภาษีให้มีอายุสามปีนับแต่วันที่ออก แต่ถ้าอธิบดีเห็นสมควรอาจพิจารณา
ต่ออายุบัตรภาษีให้ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
      (1) ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยไม่สามารถนำบัตรภาษีที่ได้รับไปชำระภาษีอากรใดได้
เพราะเป็นผู้ได้รับยกเว้นภาษีอากรตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
      (2) ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยไม่สามารถนำบัตรภาษีที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน
กำหนดอายุของบัตรภาษีนั้น
      การต่ออายุบัตรภาษีตามวรรคหนึ่งให้อธิบดีพิจารณาต่ออายุให้ได้คราวละสามปีและจะ
พิจารณาต่ออายุบัตรภาษีให้ได้ไม่เกินสองคราว
      การยื่นคำขอให้ต่ออายุบัตรภาษีต้องยื่นก่อนบัตรภาษีหมดอายุและให้ยื่นคำขอตามระเบียบ
ที่กรมศุลกากรกำหนด

      มาตรา 21 ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยเห็นว่าตนจะไม่สามารถนำบัตรภาษีที่จะได้
รับไปใช้ประโยชน์ได้ ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยจะขออนุมัติจากอธิบดีเพื่อโอนสิทธิในบัตรภาษีไป
ให้แก่บุคคลอื่นก็ได้ โดยยื่นคำขอตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด แต่การขอโอน
สิทธิตามมาตรานี้จะต้องกระทำก่อนการออกบัตรภาษี

      มาตรา 22 บัตรภาษีที่ออกให้ต้องเป็นบัตรภาษีระบุชื่อผู้ถือและจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่
ได้รับอนุมัติจากอธิบดีในกรณีดังต่อไปนี้
      (1) การโอนให้ทายาทผู้รับโอนกิจการของผู้มีชื่อในบัตรภาษีซึ่งถึงแก่ความตาย
      (2) การโอนให้ผู้ซึ่งรับโอนกิจการของผู้มีชื่อในบัตรภาษีมาดำเนินการต่อไป
      (3) การโอนให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันเกิดจากการควบเข้ากัน
ระหว่างนิติบุคคลผู้มีชื่อในบัตรภาษีและนิติบุคคลอื่น
      (4) การโอนให้แก่บุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการของผู้มีชื่อในบัตรภาษี
      ในกรณีอนุมัติตาม (4) อธิบดีจะอนุมัติได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ

      มาตรา 23 ผู้รับโอนตามมาตรา 22 (1) ต้องนำบัตรภาษีของผู้โอนมาขอเปลี่ยนบัตร
ภาษีใหม่ภายในอายุของบัตรที่กำหนดไว้ในบัตรภาษีเดิม หรือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ผู้มีชื่อในบัตร
ภาษีถึงแก่ความตายแล้วแต่วันใดจะเป็นวันหลัง
      สำหรับผู้รับโอนตามมาตรา 22 (2) (3) หรือ (4) ต้องนำบัตรภาษีของผู้โอนมาขอ
เปลี่ยนบัตรภาษีใหม่ตามในอายุของบัตรที่กำหนดไว้ในบัตรภาษีเดิม เว้นแต่ในกรณีที่อธิบดี
เห็นสมควร จะผ่อนผันให้นำบัตรภาษีมาขอเปลี่ยนบัตรภาษีใหม่ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่บัตรภาษี
หมดอายุก็ได้
      บัตรภาษีที่ออกให้ใหม่มีอายุการใช้เท่ากับบัตรภาษีเดิมและอาจต่ออายุได้อีกตามที่กำหนด
ในมาตรา 20

      มาตรา 24 ในกรณีที่บัตรภาษีชำรุด สูญหาย หรือถูกทำลายให้ผู้มีชื่อในบัตรภาษียื่น
ความจำนงขอรับบัตรภาษีใหม่แทนตามระเบียบที่กรมศุลกากรกำหนด
      บัตรภาษีที่ออกให้ใหม่ตามวรรคหนึ่งมีอายุการใช้และอาจต่ออายุได้อีกเพียงเท่าที่มีอยู่
ในบัตรเดิม

      มาตรา 25 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่
มีอำนาจดังต่อไปนี้
      (1) มีหนังสือเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ หรือแจ้งข้อเท็จจริงหรือทำคำชี้แจงเป็น
หนังสือหรือให้ส่งบัญชี ทะเบียน เอกสารหลักฐานใดเพื่อตรวจสอบหรือเพื่อประกอบการพิจารณา
      (2) เข้าไปในสถานที่ที่ทำการสถานที่ผลิต หรือสถานที่เก็บสินค้าของผู้ยื่นคำขอให้
กำหนดอัตราเงินชดเชย หรือผู้ยื่นคำขอรับเงินชดเชย ในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
หรือในเวลาทำการเพื่อตรวจสอบเอกสาร หลักฐานหรือสิ่งใดอันเกี่ยวกับการยื่นคำขอของผู้นั้น
ในการนี้ให้มีอำนาจสอบถามข้อเท็จจริงหรือเรียกบัญชี ทะเบียนเอกสาร หรือหลักฐานจากผู้นั้น
หรือจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง

      มาตรา 26 ในการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กรรมการและพนักงานเจ้าหน้าที่
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

      มาตรา 27 ในการปฏิบัติหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่ง
เกี่ยวข้อง
      บัตรประจำตัวให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง

      มาตรา 28 ในกรณีที่ผู้ยื่นคำขอให้กำหนดอัตราเงินชดเชยตามมาตรา 16 หรือผู้ยื่น
คำขอรับเงินชดเชยตามมาตรา 17 ไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่อำนวยความสะดวกตามสมควร
ในการปฏิบัติงานของกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการหรืออธิบดี แล้วแต่กรณี
มีอำนาจยกคำขอให้กำหนดอัตราเงินชดเชย หรือยกคำขอรับเงินชดเชยของผู้นั้นทั้งหมดหรือ
บางส่วนได้

      มาตรา 29 ในกรณีที่มีการส่งสินค้าคืนและต้องคืนเงินค่าสินค้านั้นให้แก่ผู้ซื้อผู้มีสิทธิได้รับ
เงินชดเชยซึ่งได้รับเงินชดเชยไปแล้วต้องคืนเงินชดเชยเป็นจำนวนตามส่วนของสินค้าที่รับคืนให้
กรมศุลกากร ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่นำสินค้าเข้า หรือภายในหกสิบวันนับแต่วันได้รับสินค้าคืน
สำหรับกรณีที่ขายสินค้าภายในประเทศ
      ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชยไม่ชำระคืนเงินชดเชยภายในกำหนดเวลาตาม
วรรคหนึ่ง ผู้มีสิทธิ ได้รับเงินชดเชยต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละสองต่อเดือนหรือเศษของเดือน
ของเงินชดเชยที่ต้องชำระคืนจนกว่าจะชำระคืนเงินชดเชยครบถ้วน

      มาตรา 30 ผู้ใดไม่ให้ถ้อยคำหรือไม่ส่งเอกสาร หรือหลักฐานแก่กรรมการหรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา 25 หรือขัดขวางหรือไม่อำนวยความสะดวกแก่กรรมการหรือ
พนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ

      มาตรา 31 ผู้ใดแจ้งความเท็จหรือให้ถ้วยคำเท็จหรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ
หรือนำพยานหลักฐานเท็จ มาแสดงกับคณะกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้มีการ
ประการกำหนดอัตราเงินชดเชยหรือเพื่อให้มีการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นตาม
ข้อความถ้อยคำหรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่
เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินสี่เท่าของเงินชดเชยที่ขอหรือที่จ่ายให้แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
หรือทั้งจำทั้งปรับ

      มาตรา 32 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษ ตามมาตรา30 หรือมาตรา 31
เป็นนิติบุคคล ผู้ดำเนินกิจการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนดสำหรับ
ความผิดนั้น ๆ ด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น

      มาตรา 33 ประกาศและระเบียบของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือ
แก่ผู้ส่งสินค้าออกในทางภาษีอากร และการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขายสินค้าให้แก่ส่วนราชการ
หรือรัฐวิสาหกิจตามโครงการเงินกู้หรือเงินจ่ายเหลือจากต่างประเทศ และการให้
ความช่วยเหลือในทางภาษีอากรแก่ผู้ขายสินค้าให้แก่องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งประกาศ
อัตราเงินชดเชยค่าภาษีอากร ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ใช้บังคับอยู่
ต่อไปเสมือนหนึ่งเป็นประกาศหรือระเบียบตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
      ให้ถือว่าคำขอที่เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือในทางการภาษีอากรที่ได้ยื่นไว้ตาม
ประกาศและระเบียบเดิมดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง ที่ค้างพิจารณาอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ
เป็นคำขอที่ยื่นตามพระราชบัญญัติ และให้ผู้ที่ได้ยื่นคำขอคงได้รับสิทธิและประโยชน์ตามหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประกาศและระเบียบเดิม

      มาตรา 34 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัตินี้
      กฎกระทรวงเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ป. ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้ คือ โดยที่เป็นการสมควรสนับสนุน
ให้มีการส่งสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยออกไปจำหน่ายต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสใน
การแข่งขันการขายสินค้าในตลาดโลกด้วยวิธีการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งสินค้าออก เป็นการ
ลดภาระภาษีอากรทางอ้อมซึ่งมีอยู่ในต้นทุนการผลิต โดยการจ่ายเงินชดเชยค่าภาษีอากรให้
และสมควรวางมาตรการระบบการชดเชยค่าภาษีอากรให้แก่ผู้ส่งสินค้าออกที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งไม่ได้กำหนดเป็นกฎหมายให้มีมาตรการรัดกุมและมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้ขึ้น
(ร.จ. เล่มที่ 98 133 หน้า 1 14 สิงหาคม 2524)