พระราชบัญญัติ
                   ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 3)
                            พ.ศ. 2522
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                 ให้ไว้ ณ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2522
                      เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
      โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
      จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของรัฐสภา ดังต่อไปนี้

      มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 3)
พ.ศ. 2522"

      มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

      มาตรา 3 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด 7 ทวิ กับมาตรา 65 ทวิมาตรา 65 ตรี
มาตรา 65 จัตวา มาตรา 65 เบญจ มาตรา 65 ฉมาตรา 65 สัตต มาตรา 65 อัฏฐ
มาตรา 65 นว มาตรา 65 ทศมาตรา 65 เอกาทศ มาตรา 65 ทวาทศ และมาตรา 65
เตรส แห่งพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514

      มาตรา 65 ทวิ ความในหมวดนี้ให้ใช้บังคับแก่บริษัทซึ่งได้ทำสัญญาปิโตรเลียมก่อนปี พ.ศ.
2512 และได้ทำสัญญาเช่าซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทยก่อนปี
พ.ศ. 2522 และบริษัทอื่นตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด
      ให้นำบทนิยามคำว่า "เงินได้" "จำหน่าย" และ "บริษัท" ในในมาตรา 65 ตรี มา
ใช้แทนบทนิยามของคำเหล่านั้นในมาตรา 4 และให้นำความในมาตรา 65 จัตวา มาตรา 65
เบญจ มาตรา 65 ฉมาตรา 65 สัตต มาตรา 65 อัฏฐ มาตรา 65 นว มาตรา 65 ทศและ
มาตรา 65 เอกาทศ มาใช้บังคับแทนความใน มาตรา 20 มาตรา21 มาตรา 24 มาตรา
25 มาตรา 26 มาตรา 31 มาตรา 41 และมาตรา 43 ตามลำดับ สำหรับบริษัทตาม
วรรคหนึ่ง
      มิให้นำคำนิยาม "ราคามาตรฐาน" ในมาตรา 4 กับความในมาตรา 13 มาตรา 18
และมาตรา 32 มาใช้บังคับกับบริษัทตามวรรคหนึ่ง
      ให้นำบทบัญญัติในหมวดอื่นแห่งพระราชบัญญัตินี้มาใช้บังคับกับบริษัทตามวรรคหนึ่งได้เท่าที่
ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในหมวดนี้ และที่ใดบัญญัติถึง "เงินได้" "จำหน่าย" หรือ "บริษัท"
ให้หมายถึง"เงินได้" "จำหน่าย" หรือ "บริษัท" ตามลำดับตามหมวดนี้ และที่ใดที่อ้างถึง
มาตรา 20 มาตรา 21 มาตรา 24 มาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 31 มาตรา 41 และ
มาตรา 43 ให้หมายถึงมาตรา 65 จัตวามาตรา 65 เบญจ มาตรา 65 ฉ มาตรา 65 สัตต
มาตรา 65 อัฏฐ มาตรา 65 นว มาตรา 65 ทศ และมาตรา 65 เอกาทศตามลำดับตาม
หมวดนี้

      มาตรา 65 ตรี ในหมวดนี้
      "เงินได้" หมายความว่า เงินทรัพย์สิน พร้อมประโยชน์อย่างอื่นที่ได้มาอันอาจ
คิดคำนวณได้เป็นเงินและหมายความรวมถึงภาษีอากรที่มีผู้อื่นออกแทนให้
      "จำหน่าย" หมายความว่า ส่งปิโตรเลียมออกนอกราชอาณาจักรส่งปิโตรเลียมไปยัง
โรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นปิโตรเลียมของบริษัท นำปิโตรเลียมที่ต้องเสีย
ค่าภาคหลวงไปให้ในกิจการใด ๆ ของบริษัทโดยไม่มีการขาย หรือโอนปิโตรเลียมที่ต้องเสีย
ค่าภาคหลวง ไปโดยไม่มีค่าตอบแทน
      "บริษัท" หมายความว่า บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมซึ่งได้รับสัมปทานหรือมี
ส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน

      มาตรา 65 จัตวา บริษัทมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้
      (1) ภาษีเงินได้เป็นรายรอบระยะเวลาบัญชีในอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่ง
ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 แต่ไม่เกินร้อยละ48 ของกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียม
      (2) ภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 23.08 ของเงินกำไรที่เหลือจากการชำระ
ภาษีเงินได้ตาม (1) หรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรดังกล่าว หรือที่ถือว่าเป็นเงิน
กำไรดังกล่าวทั้งนี้เฉพาะจำนวนที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักร
      เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้ตาม (2) ให้ถือภาษีเงินได้ตาม (2) นั้น
เป็นเงินกำไรที่จำหน่ายออกนอกราชอาณาจักรด้วย

      มาตรา 65 เบญจ ในกรณีที่มีการโอนกิจการปิโตรเลียมถ้าบริษัทผู้รับโอนจ่ายเงินได้ที่
เป็นเงินค่าสิทธิ เงินปี หรือเงินได้ประจำเนื่องจากการโอนนั้น โดยเงินดังกล่าวไม่อาจกำหนด
จำนวนทั้งสิ้นได้แน่นอนให้บุคคลซึ่งได้รับเงินได้นั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ในอัตราที่กำหนดโดย
พระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แต่ไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินได้หลังจากหัก
ต้นทุนตามมาตรา 33 แล้ว
      บุคคลใดได้รับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจากบริษัท บุคคลนั้นมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้สำหรับ
ดอกเบี้ยนั้นในอัตราตามวรรคหนึ่ง และให้นำภาษีที่ถูกหักไว้ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วตามมาตรา
45 มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย
      บุคคลใดได้รับเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรจากบริษัทที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตาม
มาตรา 65 จัตวา (1) แต่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา (2) บุคคลนั้นมีหน้าที่
เสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ23.08 ของเงินปันผลหรือส่วนแบ่งของกำไรนั้น และให้นำภาษีที่
ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วตามมาตรา 45 มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย

      มาตรา 65 ฉ ภายใต้บังคับมาตรา 65 สัตต และมาตรา 65 อัฏฐ รายจ่ายตามปกติ
และจำเป็นให้จำกัดอยู่เฉพาะแต่รายจ่ายที่บริษัทสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นรายจ่ายตามปกติและ
จำเป็นในจำนวนไม่เกินสมควร และได้จ่ายไปทั้งหมดเฉพาะในกิจการปิโตรเลียมไม่ว่าจะจ่าย
ในหรือนอกราชอาณาจักร และภายในข้อจำกัดดังกล่าวให้รวมถึง
      (1) ค่าเช่าหรือค่าตอบแทนอย่างอื่นในการเช่าทรัพย์สิน
      (2) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่
ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิต
      (3) ค่ารับรอง
      (4) หนี้สูญที่จำหน่ายจากบัญชี
      (5) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ
      (6) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน
      (7) ค่าภาคหลวง ไม่ว่าจะชำระเป็นตัวเงินหรือปิโตรเลียม
      (8) รายจ่ายของสำนักงานใหญ่เท่าที่จัดสรรได้โดยสมควรว่าเกี่ยวกับกิจการ
ปิโตรเลียมของบริษัท
      (9) ราคาทุนของทรัพย์สินหรือสิทธิใด ๆ ที่หักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนแล้วสำหรับ
รายได้ตามมาตรา 22 (4)
     (10) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เฉพาะที่บริษัทพิสูจน์ได้ว่าบุคคลใดเป็นผู้รับและได้หักภาษีไว้ ณ
ที่จ่าย สำหรับการจ่ายดอกเบี้ยนั้นแล้วตามมาตรา 45

      มาตรา 65 สัตต รายการที่มิให้ถือเป็นรายจ่ายตามปกติและจำเป็นให้รวมถึง
      (1) รายจ่ายที่เป็นทุนหรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลงขยายออกหรือทำให้ดีขึ้น
ซึ่งทรัพย์สิน
      รายจ่ายที่เป็นทุนตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สิน
หรือประโยชน์ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมโดยทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นมีผลต่อกิจการเป็น
เวลาเกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีและให้หมายความรวมถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้นก่อน รอบ
ระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสองและรายจ่ายตามปกติ และจำเป็นที่
จ่ายไปก่อนรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามมาตรา 65 อัฏฐ (1) วรรคสองด้วย
      (2) รายจ่ายที่เป็นการส่วนตัว หรือการให้โดยเสน่หาหรือรายจ่ายที่เป็นการบริจาค
      (3) ผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกัน หรือ สัญญาคุ้มกันใด ๆ
      (4) รายจ่ายเพื่อ ตอบแทนทุนหรือทรัพย์สินของบริษัท
      (5) เงินสำรองหรือเงินสมทบกองทุนใด ๆ เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 ฉ (5)
      (6) ภาษีเงินได้ เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่บริษัทต้องเสียตามพระราชบัญญัตินี้ หรือที่ต้องเสีย
ในต่างประเทศ
      (7) รายจ่ายเพื่อกิจการหรือเพื่อประโยชน์ในการหามาซึ่งเงินได้อันไม่อยู่ในบังคับต้อง
เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้
      (8) รายจ่ายที่บริษัทพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ
      (9) ค่าธรรมเนียมการสงวนพื้นที่และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
     (10) ค่าปรับทางอาญา

      มาตรา 65 อัฏฐ การคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิตามหมวดนี้ ให้เป็นไปดัง
ต่อไปนี้
      (1) กำไรสุทธิต้องคำนวณเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี
      รอบระยะเวลาบัญชีแรก ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมที่ต้องเสีย
ค่าภาคหลวงเป็นครั้งแรก แต่ถ้าอธิบดีอนุมัติให้บริษัทเลือกนับแต่วันใดวันหนึ่งของเดือนเดียวกัน
ก่อนวันที่บริษัทขายหรือจำหน่ายปิโตรเลียมนั้นเป็นครั้งแรก ก็ให้เริ่มนับแต่วันที่บริษัทเลือกส่วน
รอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ ไป ให้เริ่มนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชีก่อน
      รอบระยะเวลาบัญชีให้มีกำหนดสิบสองเดือน เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้ จะมีกำหนดน้อยกว่า
สิบสองเดือนก็ได้
      (ก) บริษัทถือเอาวันใดวันหนึ่งเป็นวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชีแรก
      (ข) ในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการปิโตรเลียม ให้ถือวันเลิกกิจการปิโตรเลียมเป็นวันสิ้นสุด
รอบระยะเวลาบัญชี
      (ค) บริษัทได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้เปลี่ยน วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี
      ในกรณีที่บริษัทโอนสิทธิใด ๆ ตามสัมปทานก่อนวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตาม
วรรคสอง เพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิเนื่องจากการโอนสิทธิเช่นว่านั้น ให้ถือวันโอน
เป็นวันแรกและวันสิ้นสุดของรอบระยะเวลาบัญชี และในระยะเวลาตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบ
ระยะเวลาบัญชีดังกล่าวจนถึงวันเริ่มรอบระยะเวลาบัญชีแรกตามวรรคสอง ให้ถือว่าไม่มีรอบ
ระยะเวลาบัญชี
      (2) ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งหมวด 2 และหมวดนี้ วิธีการหลักเกณฑ์และการปฏิบัติ
ทางบัญชี เพื่อคำนวณรายได้ รายจ่ายและกำไรสุทธิของบริษัท ให้เป็นไปตามวิธีการ หลักเกณฑ์
และการปฏิบัติทางบัญชีที่เหมาะสมซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม
      (3) ยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (1) ให้ถือตามราคาที่ได้รับ
หรือมีสิทธิได้รับจากการขายปิโตรเลียมหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากปิโตรเลียมนั้น
      (4) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (2) ให้คำนวณตามราคาตลาด
      ในกรณีที่มีการส่งปิโตรเลียมไปยังโรงกลั่นน้ำมันหรือสถานที่เก็บรักษาเพื่อการกลั่นน้ำมัน
ของบริษัท ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในวันที่มีการขายหรือส่งออกนอก
ราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น และรวมเป็นเงินได้ในรอบระยะเวลา
บัญชีมีการขายหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น ในกรณีที่
มีการจำหน่ายปิโตรเลียมโดยประการอื่น ให้กำหนดมูลค่าของปิโตรเลียมตามวรรคหนึ่งในเวลา
ที่มีการจำหน่ายและรวมเป็นเงินได้ในปีที่มีการจำหน่ายนั้น
      การกำหนดราคาตลาดและปริมาณของปิโตรเลียมที่จะต้องนำมูลค่ามารวมเป็นเงินได้
ตามวรรคสอง ให้เฉลี่ยเงินได้ทั้งหมดที่ได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมหรือ
มูลค่าตามราคาตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ที่ส่งออกนอกราชอาณาจักร
ทั้งหมดแล้วแต่กรณี เป็นมูลค่าของปิโตรเลียมนั้น ทั้งนี้ ตามวิธีการ หลักเกณฑ์และการปฏิบัติทาง
บัญชีที่เหมาะสม ซึ่งใช้อยู่เป็นปกติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม แต่มิให้ถือว่ามีการขายหรือส่งออก
นอกราชอาณาจักรซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใด ๆ
หลังจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ส่งปิโตรเลียมนั้นไปยังโรงกลั่น เว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่ายังมิได้มี
การขายหรือส่งออก ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมนั้น
      (5) มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (3) ให้คำนวณตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ว่าด้วยปิโตรเลียมที่เกี่ยวกับการคำนวณมูลค่าปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวง
      (6) ถ้าบริษัทหนึ่งที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสำรวจ
ปิโตรเลียมหรือการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนได้เสียนั้น แต่ค่าใช้จ่ายนั้นมิได้
เสียให้แก่บริษัทอื่นที่มีส่วนได้เสียร่วมกันในสัมปทาน ค่าใช้จ่ายดังกล่าวมิให้ถือเป็นเงินได้ของ
บริษัทอื่นนั้น
      (7) ค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุน ให้หักได้เฉพาะตามประเภทอัตรา และเงื่อนไขที่
กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
      (8) ค่าแรงงาน ค่าบริการ ค่าวัสดุสิ้นเปลือง และรายจ่ายทำนองเดียวกันอย่างอื่นที่
ใช้ในการเจาะเพื่อสำรวจหรือเพื่อผลิตปิโตรเลียม บริษัทจะถือเป็นรายจ่ายที่เป็นทุนในรอบ
ระยะเวลาบัญชีที่มีรายจ่ายนั้นก็ได้
      (9) ค่ารับรอง ให้หักเป็นรายจ่ายได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
     (10) ราคาทรัพย์สินอื่นนอกจากสินค้า ให้ถือตามราคาทุน ถ้าราคาทุนเป็นเงินตรา
ต่างประเทศ ให้คำนวณเป็นเงินตราไทยเช่นเดียวกับวิธีการตาม (12) ราคาทุนดังกล่าวอาจ
ลดลงได้โดยการหักค่าชดเชยรายจ่ายที่เป็นทุนตาม (7) แต่ห้ามมิให้ตีราคาลดลง ส่วนการ
ตีราคาเพิ่มขึ้นให้กระทำได้เท่าที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร
     (11) ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีจะคำนวณตามราคาทุน
ก็ได้ หรือจะคำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาดแล้วแต่อย่างใดจะน้อยกว่าก็ได้ และให้ถือราคา
นี้เป็นราคาสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่
      การคำนวณราคาทุนตามวรรคหนึ่งนั้น เมื่อได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ใดตามวิชาการบัญชี
แล้ว ให้ใช้หลักเกณฑ์นั้นตลาดไป เว้นแต่จะได้รับ  อนุมัติจากอธิบดีจึงจะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ได้
     (12) เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศที่รับมาหรือ
จ่ายไปในระหว่างรอบระยะเวลาบัญชีให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราที่ได้ซื้อขาย
เงินตราต่างประเทศนั้น
      ในกรณีที่มิได้มีการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ให้คำนวณเงินตราต่างประเทศ หนี้สิน
หรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในรอบระยะเวลาหนึ่งเดือนก่อนเดือนที่ได้รับ
มาหรือจ่ายไปโดยคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยรายวันที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขาย
เงินตราต่างประเทศซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้
     (13) เงินตรา หนี้สิน หรือสิทธิเรียกร้องที่มีมูลค่าเป็นเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่ใน
วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณมูลค่าเป็นเงินตราไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยหลัง
สุดที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อหรือขายในรอบระยะเวลาบัญชี แล้วแต่กรณี ซึ่งธนาคารแห่งประเทศ
ไทยได้คำนวณไว้
     (14) หนี้สูญจะจำหน่ายจากบัญชีได้ต่อเมื่อได้ปฏิบัติการโดยสมควรเพื่อให้ได้รับชำระหนี้
แล้ว หนี้สูญรายใดที่ได้จำหน่ายแล้ว ถ้าได้รับชำระในภายหลัง ให้นำมาคำนวณเป็นรายได้ของ
รอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับชำระนั้น
     (15) เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญ จะถือเป็นรายจ่ายได้
ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในรอบระยะเวลาบัญชีและต้องอยู่
ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้
      (ก) กองทุนได้ตั้งไว้เพื่อประโยชน์แก่ลูกจ้างโดยเฉพาะ
      (ข) เงินกองทุนต้องแยกไว้ต่างหากให้พ้นหากการครอบครองของบริษัท
      (ค) เงินกองทุนจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้นอกจากเพื่อประโยชน์แก่
กองทุนโดยเฉพาะ
      (ง) เงินสมทบกองทุนต้องไม่กลับคืนมาเป็นของบริษัทอีกและ
      (จ) เงินสมทบกองทุนต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่มีระเบียบว่าด้วยกองทุนกำหนดไว้เป็นหนังสือ

      มาตรา 65 นว ในกรณีที่บริษัทมีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา
(2) หรือมีหน้าที่หักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45 สำหรับเงินได้ตามมาตรา 65 เบญจ
วรรคสาม ในรอบระยะเวลาบัญชีได้ให้บริษัทได้ทำเครดิตเพื่อหักออกจากภาษีดังกล่าวสำหรับ
ปิโตรเลียมที่ผลิตได้เพื่อใช้ในราชอาณาจักร เป็นจำนวนเงินตามอัตราดังต่อไปนี้
      (1) ร้อยละ 4.375 ของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียม
ที่จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา 22 (1) (2) และ
(3) สำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตจากแปลงสำรวจที่กรมทรัพยากรธรณีกำหนดว่าเป็นแปลงสำรวจ
ในทะเลที่มีน้ำลึกเกิน 200 เมตร
      (2) ร้อยละ 6.25 ของยอดเงินได้จากการขายปิโตรเลียมหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่
จำหน่ายหรือมูลค่าของปิโตรเลียมที่ส่งชำระเป็นค่าภาคหลวงตามมาตรา 22 (1) (2) และ
(3) สำหรับปิโตรเลียมที่ผลิตจากแปลงสำรวจนอกจาก (1)
      การนำเครดิตมาหักจากภาษีตามวรรคหนึ่ง ให้อยู่ภายใต้ข้อจำกัดดังต่อไปนี้
      (1) เครดิตที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องมีจำนวนไม่เกินภาษีตามมาตรา
65 จัตวา (1) และ (2) สำหรับกำไรที่ได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือภาษีตามมาตรา
65 จัตวา (1) และมาตรา 65 เบญจ วรรคสาม แล้วแต่กรณี
      (2) เครดิตที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีใด จะต้องไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตาม
มาตรา 65 จัตวา (2) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น หรือไม่เกินภาษีที่ต้องเสียตามมาตรา
65 เบญจ วรรคสามสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ซึ่งต้องหักไว้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 45
แล้วแต่กรณี ถ้ายังมีเครดิตเหลืออยู่ ให้ยกเครดิตส่วนที่เหลือนั้นไปหักในรอบระยะเวลาบัญชีต่อ ๆ
ไปได้

      มาตรา 65 ทศ การยื่นแบบแสดงรายการเงินได้สำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้
ตามมาตรา 65 จัตวา (1) หรือมาตรา 65 เบญจให้ยื่นภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบ
ระยะเวลาบัญชี สำหรับเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 65 จัตวา (2) ให้ยื่นภายใน
เจ็ดวันนับแต่วันจำหน่าย
      การยื่นแบบแสดงรายการตามมาตรา 37 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมิน
กำหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ของ
บริษัทผู้โอนกิจการปิโตรเลียม
      การยื่นแบบแสดงรายการมาตรา 59 ให้ยื่นภายในเวลาที่เจ้าพนักงานประเมินกำหนด

      มาตรา 65 เอกาทศ ถ้ามีภาษีต้องเสีย ให้บริษัทที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้
ตามหมวด 3 ชำระภาษีภายในห้าเดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี พร้อมกับการยื่น
แบบแสดงรายการเงินได้เว้นแต่ในกรณีการยื่นแบบแสดงรายการเงินได้สำหรับภาษีที่ต้องเสีย
ตามมาตรา 65 จัตวา (2) ให้ชำระภาษีภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่ายพร้อมกับการยื่น
แบบแสดงรายการเงินได้
      ในกรณีตามมาตรา 35 วรรคสอง ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเงินได้มีหน้าที่
ชำระภาษีร่วมกับบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศด้วย

      มาตรา 65 ทวาทศ บทบัญญัติมาตรา 12 มิให้นำมาใช้บังคับแก่
      (1) เงินได้ที่บริษัทได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียม
      (2) ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บุคคลใดได้รับจากบริษัท

      มาตรา 65 เตรส ในกรณีที่บริษัทมีเงินได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมให้
บริษัทเสียภาษีสำหรับเงินได้นั้นตามประมวลรัษฎากร
      ให้บริษัทจัดทำบัญชี หลักฐาน รายงานและเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับเงินได้จากกิจการอื่นที่
กล่าวในวรรคหนึ่งแยกต่างหากจากบัญชี หลักฐานรายงานและเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับเงินได้จาก
กิจการจากปิโตรเลียม
      ในกรณีที่บริษัทมีรายจ่ายซึ่งเป็นทั้งของกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียมรวมกันให้แบ่ง
เฉลี่ยรายจ่ายตามส่วนระหว่างกิจการอื่นและกิจการปิโตรเลียม
      ให้บริษัทปฏิบัติตามระเบียบการจัดแบ่งเฉลี่ยรายจ่ายระหว่างกิจการต่าง ๆ ตามที่อธิบดี
ได้พิจารณาและให้ความเห็นชอบแล้ว
      มูลค่าของปิโตรเลียมตามมาตรา 22 (2) ซึ่งบริษัทนำไปใช้ในกิจการอื่นนอกจาก
กิจการปิโตรเลียมในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและ
ขาดทุนสุทธิตามประมวลรัษฎากรสำหรับเงินได้จากกิจการอื่นนอกจากกิจการปิโตรเลียมในรอบ
ระยะเวลาบัญชีนั้นได้"
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือเนื่องจากพระราชบัญญัติ
ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 ได้กำหนดหลักการจัดเก็บภาษีเงินได้ไว้แตกต่างกับ
ประมวลรัษฎากร ซึ่งทำให้บริษัทที่ได้ทำสัญญาปิโตรเลียมไว้ก่อนปี พ.ศ. 2512 และได้ทำสัญญา
ซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับองค์การก๊าซธรรมชาติก่อนปี พ.ศ. 2522 ไม่อาจนำภาษีเงินได้ที่
ชำระในประเทศไทยตามกฎหมายดังกล่าวไปเป็นเครดิตหักออกจากภาษีเงินได้ที่ต้องชำระใน
ต่างประเทศได้ และจำต้องเสียภาษีเงินได้ในต่างประเทศซ้อนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น เพื่อให้
หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้มีความอ่อนตัวและสามารถใช้บังคับในแต่ละกรณีได้อย่างเหมาะสม
และเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
(ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 220 หน้า 8 30 ธันวาคม 2522)