พระราชบัญญัติ
                                รถยนต์
                               พ.ศ.2522
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2522
                        เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2522 เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิก
   (1) พระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2473
   (2) พระราชบัญญัติรถยนต์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2474
   (3) พระราชบัญญัติรถยนต์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475
   (4) พระราชบัญญัติรถยนต์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477
   (5) พระราชบัญญัติรถยนต์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477 (ฉบับที่ 2)
   (6) พระราชบัญญัติรถยนต์แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2478
   (7) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2479
   (8) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 8) พุทธศักราช 2481
   (9) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 9) พุทธศักราช 2481
  (10) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 10) พุทธศักราช 2484
  (11) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 11) พุทธศักราช 2484
  (12) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 12) พุทธศักราช 2494
  (13) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 13) พุทธศักราช 2502
  (14) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 14) พุทธศักราช 2503
  (15) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 15) พุทธศักราช 2506
  (16) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 16) พุทธศักราช 2512
  (17) พระราชบัญญัติรถยนต์  ฉบับที่ 20  ลงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2514
  (18) พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2473 พ.ศ.2516
  (19) พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2473 (ฉบับที่ 2)
พ.ศ.2516
  (20) พระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 17) พ.ศ.2517
   บรรดากฎหมาย กฎ ข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัดหรือ
แย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
   "รถ" หมายความว่า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถพ่วง รถบดถนน รถแทรกเตอร์ และรถอื่น
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
   "รถยนต์" หมายความว่า รถยนต์สาธารณะ รถยนต์บริการและรถยนต์ส่วนบุคคล
   "รถยนต์สาธารณะ" หมายความว่า
   (1) รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด ซึ่งได้แก่รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
ที่ใช้รับจ้างระหว่างจังหวัดโดยรับส่งคนโดยสารได้เฉพาะที่นายทะเบียนกำหนด
   (2) รถยนต์รับจ้าง ซึ่งได้แก่รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน หรือรถยนต์
สาธารณะอื่นนอกจากรถยนต์โดยสารประจำทาง
   "รถยนต์บริการ" หมายความว่า รถยนต์บรรทุกคนโดยสารหรือให้เช่าซึ่งบรรทุกคนโดยสาร
ไม่เกินเจ็ดคน ดังต่อไปนี้
   (1) รถยนต์บริการธุรกิจ ซึ่งได้แก่รถยนต์ที่ใช้บรรทุกคนโดยสารระหว่างท่าอากาศยาน
ท่าเรือเดินทะเล สถานีขนส่งหรือสถานีรถไฟกับโรงแรมที่พักอาศัยที่ทำการของผู้โดยสารหรือ
ที่ทำการของผู้บริการธุรกิจนั้น
   (2) รถยนต์บริการทัศนาจร ซึ่งได้แก่รถยนต์ที่ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวใช้รับส่ง
คนโดยสารเพื่อการท่องเที่ยว
   (3) รถยนต์บริการให้เช่า ซึ่งได้แก่รถยนต์ที่จัดไว้ให้เช่าซึ่งมิใช่เป็นการเช่าเพื่อนำไปรับจ้าง
บรรทุกคนโดยสารหรือสิ่งของ
   "รถยนต์ส่วนบุคคล" หมายความว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน รถยนต์นั่งส่วนบุคคล
เกินเจ็ดคน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วย
การขนส่งทางบก
   "รถจักรยานยนต์" หมายความว่า รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้าและมีล้อไม่
เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้างมีล้อเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งล้อ และให้หมายความรวมถึงรถจักรยานที่ติด
เครื่องยนต์ด้วย
   "รถพ่วง" หมายความว่า รถที่เคลื่อนที่ไปโดยใช้รถอื่นลากจูง
   "รถบดถนน" หมายความว่า รถที่ใช้ในการบดอัดวัสดุบนพื้นให้แน่น และมีเครื่องยนต์
ขับเคลื่อนในตัวเอง หรือใช้รถอื่นลากจูง
   "รถแทรกเตอร์" หมายความว่า รถที่มีล้อหรือสายพาน และมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนในตัวเอง
เป็นเครื่องจักรกลขั้นพื้นฐานในงานที่เกี่ยวกับการขุด ตัก ดัน หรือฉุดลาก เป็นต้น หรือรถยนต์
สำหรับลากจูงซึ่งมิได้ใช้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
   "เจ้าของรถ" หมายความรวมถึงผู้มีรถไว้ในครอบครองด้วย
   "นายทะเบียน" หมายความว่า ข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็น
นายทะเบียน
   "อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมตำรวจ
   "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มี
อำนาจแต่งตั้งนายทะเบียน กับออกกฎกระทรวงกำหนดกิจการอื่นและกำหนดในเรื่องดังต่อไปนี้
   (1) ลักษณะ ขนาด หรือกำลังของเครื่องยนต์ และของรถที่จะรับจดทะเบียนเป็นรถ
ประเภทต่าง ๆ เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงลักษณะ ขนาด หรือกำลังของเครื่องยนต์และของรถ
สำหรับรถประเภทดังกล่าวและการแก้ไขเพิ่มเติมทะเบียนรถและใบคู่มือจดทะเบียนรถที่ได้เปลี่ยน
แปลงแล้ว
   (2) เครื่องอุปกรณ์สำหรับรถและการใช้เครื่องอุปกรณ์ดังกล่าว เช่น โคม เครื่องมองหลัง
แตร เครื่องระงับเสียง ท่อไอเสีย เครื่องสัญญาไฟ เครื่องปัดน้ำฝน และเครื่องอุปกรณ์อื่นที่จำเป็น
   (3) เครื่องสื่อสาร และการใช้เครื่องสื่อสารระหว่างรถกับศูนย์บริการหรือสถานที่อื่น
   (4) แผ่นป้ายทะเบียนรถ เครื่องหมายประเภทรถ และเครื่องหมายอื่นรวมทั้งวิธีแสดงแผ่นป้าย
และเครื่องหมายดังกล่าว
   (5) สีและเครื่องหมายสำหรับรถยนต์สาธารณะ
   (6) น้ำหนักบรรทุกอย่างมาก และจำนวนคนโดยสารอย่างมากสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลและ
รถยนต์สาธารณะ
   (7) เงื่อนไขในการใช้ล้อยางตัน
   (8) ประเภท ขนาด และน้ำหนักของรถที่จะไม่ให้เดินบนทางที่มิใช่ทางหลวง
   (9) เงื่อนไขในการใช้รถที่มีล้ออย่างอื่น นอกจากล้อยางเดินบนทางที่มิใช่ทางหลวง
  (10) ประเภทรถที่ต้องกำหนดอายุการใช้ในเขตที่กำหนด
  (11) ประเภทรถที่ห้ามใช้เดินในเขตที่กำหนด
  (12) การงดรับจดทะเบียนรถประเภทใดประเภทหนึ่งในเขตที่กำหนด
  (13) จำนวนรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด จังหวัดต้นทางและจังหวัดปลายทางสำหรับ
รถยนต์ดังกล่าว
  (14) อัตราค่าจ้างบรรทุกคนโดยสารสำหรับรถยนต์สาธารณะ
  (15) เครื่องแต่งกาย เครื่องหมายและการแสดงบัตรประจำตัวคนขับรถยนต์สาธารณะ
รถยนต์บริการธุรกิจ และรถยนต์บริการทัศนาจร
  (16) หลักสูตรและอุปกรณ์การสอนและฝึกหัดขับรถของโรงเรียนฝึกหัดขับรถ
  (17) ค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้
  (18) กิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
   กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 6 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถ เว้นแต่รถนั้นเป็นรถที่จดทะเบียนและเสียภาษีประจำปีสำหรับ
รถนั้นครบถ้วนถูกต้องแล้ว
   ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่รถที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรชั่วคราว โดยที่ผู้นำเข้า
ไม่มีภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร แต่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาล
ของประเทศที่ผู้นำเข้ามีสัญชาติ

   มาตรา 7 รถที่จะขอจดทะเบียนได้ต้อง
   (1) เป็นรถที่มีส่วนควบและมีเครื่องอุปกรณ์สำหรับรถครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนดใน
กฎกระทรวง และ
   (2) ผ่านการตรวจสภาพรถตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ใน
เวลาที่ขอจดทะเบียนแล้ว
   ในกรณีที่ขอจดทะเบียนเป็นรถยนต์สาธารณะ รถยนต์บริการธุรกิจ หรือรถยนต์บริการทัศนาจร
รถนั้นต้องมีลักษณะ ขนาด หรือกำลังของเครื่องยนต์และของรถตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และ
ผู้ขอจดทะเบียนต้องแจ้งสถานที่เก็บรถยนต์สาธารณะ หรือรถยนต์บริการซึ่งมีลักษณะตามที่กำหนด
ในกฎกระทรวงด้วย

   มาตรา 8 รถดังต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียน
   (1) รถสำหรับเฉพาะพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
   (2) รถของกรมตำรวจที่จดทะเบียนและมีเครื่องหมายตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด
   (3) รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียนและมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการ
พระราชวังกำหนด
   (4) รถที่เจ้าของแจ้งการไม่ใช้รถตามมาตรา 34
   (5) รถที่ผู้ผลิตหรือประกอบเพื่อจำหน่ายหรือที่ผู้นำเข้าเพื่อจำหน่าย ผลิต ประกอบหรือนำเข้า
และยังมิได้จำหน่ายให้แก่ผู้อื่น

   มาตรา 9 รถดังต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
   (1) รถดับเพลิง
   (2) รถพยาบาลที่มิใช่เป็นรถสำหรับรับจ้าง
   (3) รถของกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล
กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และราชการส่วนท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น ทั้งนี้ เฉพาะรถที่มิได้
ใช้ในทางการค้าหรือหากำไร
   (4) รถบดถนนของรัฐวิสาหกิจ
   (5) รถแทรกเตอร์ของรัฐวิสาหกิจ
   (6) รถของสภากาชาดไทย
   (7) รถของบุคคลในคณะผู้แทนทางการทูต คณะผู้แทนทางกงสุล องค์การระหว่างประเทศ
หรือทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย

   มาตรา 10 ผู้ใดประสงค์จะขอจดทะเบียนรถ ให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ตนมี
ภูมิลำเนา
   ในกรณีที่ผู้ขอเป็นคนต่างด้าวและไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียน
แห่งท้องที่ที่ตนมีถิ่นที่อยู่
   การขอจดทะเบียน และการออกใบคู่มือจดทะเบียนรถ ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 11 รถที่จดทะเบียนแล้ว ต้องมีและแสดงแผ่นป้ายและเครื่องหมายครบถ้วนถูกต้อง
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 12 รถใดที่จดทะเบียนแล้ว หากปรากฏในภายหลังว่ารถนั้นมีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์
สำหรับรถไม่ครบถ้วนถูกต้องตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หรือเพิ่มสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปซึ่งอาจก่อให้เกิด
อันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของผู้อื่น ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถนั้นจนกว่าจะจัดให้มีครบถ้วนถูกต้องหรือ
เอาออกแล้ว
   ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าเจ้าของรถไม่อาจจัดให้มีครบถ้วนถูกต้องหรือเอาออกได้ ให้
นายทะเบียนสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนรถนั้น
   เจ้าของรถมีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่ออธิบดีได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบคำสั่งของ
นายทะเบียน
   คำวินิจฉัยของอธิบดีให้เป็นที่สุด

   มาตรา 13 รถใดที่จดทะเบียนแล้ว หากมีการเปลี่ยนแปลงสีของรถให้ผิดไปจากที่จดทะเบียนไว้
เจ้าของรถต้องแจ้งนายทะเบียนภายในเจ็ดวันนับแต่วันเปลี่ยนแปลง
   การแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 14 รถใดที่จดทะเบียนแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถ
ให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้และใช้รถนั้น เว้นแต่เจ้าของรถนำรถไปให้นายทะเบียน
ตรวจสภาพก่อน
   ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่ารถที่เปลี่ยนแปลงตามวรรคหนึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายในเวลาใช้
ให้สั่งเจ้าของรถแก้ไขและนำรถไปให้ตรวจสภาพก่อนใช้ และให้นำมาตรา 12 วรรคสอง วรรคสาม
และวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้านายทะเบียนเห็นว่ารถนั้นปลอดภัยในเวลาใช้ให้แก้ไข
เพิ่มเติมรายการในทะเบียนและใบคู่มือจดทะเบียนรถนั้นด้วย

   มาตรา 15 ในกรณีที่นายทะเบียนหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีแต่งตั้งเห็นว่ารถใดในขณะที่ใช้มี
ลักษณะที่เห็นได้ว่าน่าจะไม่ปลอดภัยในการใช้ ให้มีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของรถนำรถนั้น
ไปให้นายทะเบียนตรวจสภาพภายในเวลาที่กำหนดได้

   มาตรา 16 ในการย้ายรถไปไว้ต่างท้องที่ ให้เจ้าของรถแจ้งต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันย้าย
   การแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 17 ในการโอนรถที่จดทะเบียนแล้ว ผู้โอนและผู้รับโอนต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภาย
ในสิบห้าวันนับแต่วันโอน
   ในกรณีที่ผู้รับโอนจะนำรถตามวรรคหนึ่งออกนอกราชอาณาจักรภายในสิบห้าวันนับแต่วันโอน
ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากนายทะเบียนตามวรรคหนึ่งด้วย
   การแจ้งตามวรรคหนึ่ง และการขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคสอง ให้เป็นไปตาม
ระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 18 ในการนำรถออกนอกราชอาณาจักรไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ต้องได้รับอนุญาตจาก
นายทะเบียน เว้นแต่ในกรณีดังต่อไปนี้
   (1) การนำรถออกนอกราชอาณาจักรโดยได้รับอนุญาตตามมาตรา 17 วรรคสอง
   (2) การรับจ้างบรรทุกคนโดยสารออกนอกราชอาณาจักร แล้วนำรถกลับเข้ามาตามปกติกิจ
   (3) กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
   การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 19 ในการอนุญาตตามมาตรา 17 หรือมาตรา 18 รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดเงื่อนไข
ใด ๆ ในการให้นายทะเบียนอนุญาตและจะให้นายทะเบียนยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติหรือไม่ต้อง
ปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น ๆ ก็ได้ ตามที่เห็นสมควร

   มาตรา 20 ผู้ใดสั่งหรือนำรถหรือเครื่องยนต์สำหรับรถเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย
หรือผลิตหรือประกอบรถหรือเครื่องยนต์สำหรับรถขึ้นใหม่เพื่อจำหน่าย ผู้นั้นต้องส่งบัญชี
ประจำเดือนในการรับและจำหน่ายรถหรือเครื่องยนต์สำหรับรถให้แก่นายทะเบียนภายในวันที่สิบห้า
ของเดือนถัดไป
   บัญชีตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 21 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้ เว้นแต่ในกรณี ดังต่อไปนี้
   (1) การใช้รถยนต์บริการธุรกิจหรือรถยนต์บริการทัศนาจรในกิจการส่วนตัว
   (2) การใช้รถยนต์สาธารณะในกิจการส่วนตัว โดยมีข้อความแสดงไว้ที่รถนั้นให้เห็นได้ง่าย
จากภายนอกว่าใช้ในกิจการส่วนตัว
   (3) การใช้รถยนต์สาธารณะบรรทุกของที่ติดตัวไปกับผู้โดยสาร
   (4) ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 22 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้รถยนต์อื่นนอกจากรถยนต์โดยสารประจำทางรับจ้างรับคนโดยสาร
ซึ่งเสียค่าโดยสารเป็นรายตัวตามรายทางในทางที่ได้รับอนุญาตให้มีรถยนต์โดยสารประจำทางหรือ
ในเขตจากทางนั้นไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร
   ความในวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับในกรณีที่เป็นการรับจ้างรับส่งนักเรียน คนงาน นักท่องเที่ยว
 หรือการรับส่งผู้โดยสาร เป็นครั้งคราวซึ่งได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากนายทะเบียน

   มาตรา 23 ในกรณีที่รัฐมนตรีเห็นว่าในท้องที่ใดการประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดย
ใช้รถยนต์บรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนหรือรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด สมควรให้ดำเนินการ
โดยบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทจำกัดหรือสหกรณ์ และต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนให้รัฐมนตรี
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาระบุท้องที่สำหรับการรับจ้างดังกล่าว
   ประกาศตามวรรคหนึ่ง ไม่ใช้บังคับแก่การประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยใช้
รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารได้ไม่เกินเจ็ดคนหรือรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัดซึ่งได้
จดทะเบียน อยู่ก่อนวันประกาศจนกว่าจะพ้นสามปีนับแต่วันประกาศ
   กำหนดเวลาสามปีตามวรรคสอง ถ้ามีเหตุผลสมควร รัฐมนตรีอาจขยายออกไปได้อีกครั้งละ
ไม่เกินสองปี แต่จะขยายระยะเวลาเกินสองครั้งไม่ได้ การขยายระยะเวลาให้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา
   การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 24 ใบอนุญาตตามมาตรา 23 มีอายุสามปีนับแต่วันออกใบอนุญาต แต่อาจต่ออายุได้
คราวละสามปี
   ผู้รับใบอนุญาตซึ่งประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ต้องยื่นคำขอก่อนใบอนุญาตนั้นหมดอายุ และ
เมื่อได้ยื่นคำขอแล้ว จะประกอบการต่อไปก็ได้จนกว่านายทะเบียนจะสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตนั้น
   การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่
กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 25 ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 23 ซึ่งไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวง
ที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้

   มาตรา 26 ในกรณีที่นายทะเบียนมีคำสั่งไม่ออกใบอนุญาตตามมาตรา 23 ไม่ต่ออายุใบอนุญาต
ตามมาตรา 24 หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามมาตรา 25 ผู้ขอรับใบอนุญาต ผู้ขอต่ออายุใบอนุญาต
หรือผู้รับใบอนุญาต แล้วแต่กรณี มีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่อรัฐมนตรีได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วัน
ทราบคำสั่งนายทะเบียน
   คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด
   ในกรณีที่อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนตามมาตรา 24 หรือมาตรา 25 ก่อนที่จะมีคำวินิจฉัย
อุทธรณ์ รัฐมนตรีอาจอนุญาตให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบการไปพลางก่อนได้เมื่อมีคำขอของผู้อุทธรณ์

   มาตรา 27 ผู้ใดมีรถยนต์ไว้เพื่อขายหรือเพื่อซ่อม ถ้าจะขับเองหรือให้ผู้อื่นขับเพื่อการนั้น ต้อง
ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน และให้ขับได้ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก เว้นแต่
มีความจำเป็นและได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
   การขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและ
เงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
   ในการออกใบอนุญาต ให้นายทะเบียนออกเครื่องหมายพิเศษและสมุดคู่มือประจำรถให้ด้วย
   เครื่องหมายพิเศษและสมุดคู่มือประจำรถ ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง และ
ให้ใช้สับเปลี่ยนกันได้ไม่เฉพาะคันรถ

   มาตรา 28 ในการขับรถยนต์ตามมาตรา 27 ผู้ขับต้องบันทึกรายการดังต่อไปนี้
   (1) ชื่อรถ หมายเลขตัวรถ และหมายเลขเครื่องยนต์ของรถ
   (2) ความประสงค์ในการขับรถยนต์
   (3) วันเดือนปี และเวลาที่นำรถออกไปขับและกลับถึงที่
   (4) ชื่อและชื่อสกุลของผู้ขับ

   มาตรา 29 ภาษีประจำปีสำหรับรถมีอัตราตามที่กำหนดไว้ท้ายพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่
   (1) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคนที่จดทะเบียนมาแล้วห้าปีนับแต่ปีที่จดทะเบียนครั้งแรก
ให้ได้รับการลดหย่อนภาษีประจำปีในปีต่อ ๆ ไปในอัตราร้อยละ ดังต่อไปนี้
      ปีที่หก                       ร้อยละสิบ
      ปีที่เจ็ด                      ร้อยละยี่สิบ
      ปีที่แปด                      ร้อยละสามสิบ
      ปีที่เก้า                      ร้อยละสี่สิบ
      ปีที่สิบและปีต่อ ๆ ไป            ร้อยละห้าสิบ
   (2) รถซึ่งใช้ล้ออย่างอื่นนอกจากยางกลวง ให้เก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากอัตราที่กำหนดไว้อีกกึ่งหนึ่ง

   มาตรา 30 ให้รถที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนตามมาตรา 8 และรถที่ได้รับยกเว้นไม่
ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามมาตรา 9 ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีประจำปีด้วย

   มาตรา 31 ในกรณีที่เห็นเป็นการสมควร ให้รัฐมนตรีมีอำนาจลดภาษีประจำปีสำหรับรถใน
เขตท้องที่ใดหรือในกรณีใดลงจากอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา 29 ได้
   การลดตามวรรคหนึ่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 32 เจ้าของรถมีหน้าที่เสียภาษีประจำปี
   ภาษีประจำปีให้เสียล่วงหน้าคราวละหนึ่งปี ถ้ามิได้เสียภาษีภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้า
ของรถนั้นชำระเงินเพิ่มอีกร้อยละยี่สิบของจำนวนภาษีที่ค้างชำระ
   รถใดที่เสียภาษีประจำปีสำหรับปีใด แม้ในปีนั้นจะไม่ได้ใช้ เจ้าของรถก็ไม่มีสิทธิได้รับคืน
ภาษี ถ้าเปลี่ยนเจ้าของรถในปีใด เจ้าของใหม่ไม่ต้องเสียภาษีประจำปีสำหรับรถนั้นในปีนั้นอีก

   มาตรา 33 ในกรณีที่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงประเภทรถหรือเปลี่ยนการใช้รถผิดไป
จากที่จดทะเบียนไว้ในระหว่างปี ถ้าเป็นเหตุให้เสียภาษีลดลง เจ้าของรถไม่มีสิทธิได้รับคืนภาษี
ส่วนที่เสียเกิน แต่ถ้าต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เจ้าของรถต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นให้ครบถ้วน
ถูกต้องเมื่อจะต้องขอจดทะเบียน

   มาตรา 34 รถใดที่จดทะเบียนแล้ว แม้จะไม่ได้ใช้ก็ต้องเสียภาษีประจำปีตาม มาตรา 29
หรือมาตรา 31 แล้วแต่กรณี และมาตรา 32 เว้นแต่เจ้าของรถจะแจ้งการไม่ใช้ต่อนายทะเบียน
ก่อนถึงกำหนดเสียภาษีประจำปีครั้งต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดใน
กฎกระทรวง

   มาตรา 35 ผู้ใดมีหน้าที่เสียภาษีประจำปีแล้วไม่เสียภาษีประจำปีภายในเวลาที่กำหนด
นายทะเบียนอาจแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้นั้นนำเงินไปชำระภาษีประจำปีให้ถูกต้องครบถ้วน ณ
ที่ทำการของนายทะเบียนภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
   ในกรณีที่ผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนมีอำนาจยึดรถนั้นไว้ได้

   มาตรา 36 นายทะเบียนมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของรถนำรถไปให้ตรวจ ณ ที่ทำการ
ของนายทะเบียน

   มาตรา 37 นายทะเบียนและเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีแต่งตั้งมีอำนาจเข้าตรวจในที่ที่มีเหตุ
อันควรสงสัยว่ามีรถค้างชำระภาษีประจำปีและยึดรถนั้นไว้เพื่อตรวจสอบได้
   การเข้าตรวจตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก

   มาตรา 38 ในกรณีที่เจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจและยึดตามมาตรา 37 ให้นำ
ส่งนายทะเบียนโดยมิชักช้า และให้นำมาตรา 35 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 39 รถที่ยึดตามมาตรา 35 วรรคสอง หรือมาตรา 37 ให้นายทะเบียนเก็บรักษา
ไว้สิบห้าวัน ถ้าเจ้าของรถไม่นำเงินภาษีค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการยึดรถไปชำระให้
ถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้จัดการขายทอดตลาดรถนั้น
   ในการขายทอดตลาด ห้ามมิให้นายทะเบียนหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีแต่งตั้งเข้าสู้ราคา
   ถ้าขายทอดตลาดได้เงินเกินค่าภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการยึดและขายรถ ให้
คืนเงินที่เหลือแก่เจ้าของรถ

   มาตรา 40 ผู้ใดแจ้งความนำจับรถที่เจ้าของรถมิได้ชำระภาษีประจำปีภายในเวลาที่กำหนด
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ให้ผู้นั้นได้รับรางวัลนำจับในอัตราร้อยละหกสิบของจำนวนเงินที่เพิ่มของภาษี
ที่ต้องชำระ

   มาตรา 41 เงินภาษีประจำปีรวมทั้งเงินเพิ่มและค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้ที่จัดเก็บ
ได้ในกรุงเทพมหานคร ให้ตกเป็นรายได้ของกรุงเทพมหานคร ส่วนในจังหวัดอื่นให้ตกเป็น
รายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล ในจังหวัดนั้น และเมืองพัทยา โดย
ให้กระทรวงมหาดไทยจัดสรรตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 42 ผู้ขับรถต้องได้รับใบอนุญาตขับรถและต้องมีใบอนุญาตขับรถและสำเนาภาพถ่ายใบ
คู่มือจดทะเบียนรถในขณะขับหรือควบคุมผู้ฝึกหัดขับรถเพื่อแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ทันที เว้นแต่ผู้ถือ
ฝึกหัดขับรถยนต์ตามมาตรา 57

   มาตรา 43 ใบอนุญาตขับรถมี 9 ชนิด คือ
   (1) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล รถยนต์สามล้อส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์ชั่วคราว
   (2) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล
   (3) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล
   (4) ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ
   (5) ใบอนุญาตขัยรถยนต์สามล้อสาธารณะ
   (6) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์
   (7) ใบอนุญาตขับรถบดถนน
   (8) ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์
   (9) ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นนอกจาก (1) หรือ (8)
   ใบอนุญาตขับรถตาม (1) ใช้สำหรับขับรถยนต์บริการให้เช่าเฉพาะในกรณีที่ผู้ขับเป็นผู้เช่า
ได้ด้วย ใบอนุญาตขับรถตาม (2) ใช้สำหรับขับรถยนต์บริการให้เช่าได้ด้วย ใบอนุญาตขับรถ
ตาม (4) ใช้สำหรับขับรถยนต์บริการและใช้แทนใบอนุญาตขับรถตาม (2) ได้ด้วย และ
ใบอนุญาตขับรถตาม (5) ใช้แทนใบอนุญาตขับรถตาม (3) ได้ นอกนั้นใช้แทนกันไม่ได้

   มาตรา 44 ใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (1)(2)(3)(4)(5)(6)และ(9) มีอายุหนึ่งปี
และใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43(7) และ (8) มีอายุสามปีนับแต่วันออก และอาจต่ออายุ
ได้อีกคราวละหนึ่งปีหรือสามปี แล้วแต่กรณี ใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (2) (3)และ(6)
ที่เสียค่าธรรมเนียมในอัตราตลอดชีพมีอายุตลอดชีพของผู้ได้รับใบอนุญาต
   การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาตวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและ
เงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 45 ผู้ใดประสงค์จะขอใบอนุญาตขับรถ ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ตามพระราชบัญญัตินี้ และยื่นคำขอต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่ที่ตนมีภูมิลำเนาหรือมีถิ่นที่อยู่
   การขอใบอนุญาตขับรถและการออกใบอนุญาตขับรถ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและ
เงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 46 ผู้ขอใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (1) ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้
   (1) มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์
   (2) มีความรู้และความสามารถในการขับรถ
   (3) มีความรู้ในข้อบังคับการเดินรถตามพระราชบัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
   (4) ไม่เป็นผู้มีร่างกายพิการจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่สามารถขับรถได้
   (5) ไม่มีโรคประจำตัวที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ
   (6) ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน
   (7) ไม่มีใบอนุญาตขับรถชนิดเดียวกันอยู่แล้ว
   (8) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกยึดหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

   มาตรา 47 ผู้ขอใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (2)(3)(4)(5)หรือ(6) ต้อง
   (1) ได้รับใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43(1) มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
   (2) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 46 และ
   (3) ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษหรือถูกเจ้าพนักงานเปรียบเทียบปรับตั้งแต่สองครั้ง
ขึ้นไปสำหรับความผิดเกี่ยวกับการขับรถอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ เว้นแต่จะพ้นโทษครั้งสุดท้าย
ไม่น้อยกว่าหกเดือนแล้ว
      (ก) ฝ่าฝืนสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร
      (ข) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น
      (ค) ในลักษณะกีดขวางการจราจร
      (ง) ใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
      (จ) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
      (ฉ) โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือนร้อยของผู้อื่น

   มาตรา 48 ผู้ขอใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43(2)(3) หรือ (6) ตลอดชีพ ต้อง
   (1) ได้รับใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (2)(3) หรือ (6) แล้วแต่กรณี มาแล้วไม่น้อยกว่า
หนึ่งปี
   (2) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 46 เว้นแต่ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์
และ
   (3) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 47(3)

   มาตรา 49 ผู้ขอใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (4) หรือ (5) ต้อง
   (1) ได้รับใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43(1) มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
   (2) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 46 เว้นแต่ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์
   (3) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 47 (3)
   (4) มีสัญชาติไทย
   (5) รู้จักถนนและทางหลวงในจังหวัดที่ขอรับใบอนุญาตขับรถพอสมควร
   (6) ไม่เป็นผู้มีโรคติดต่อที่น่ารังเกียจตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
   (7) ไม่เป็นผู้ติดสุรายาเมาหรือยาเสพติดให้โทษ
   (8)ไม่เคยเป็นผู้ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
หรือความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ
ประชาชน ความผิดเกี่ยวกับเงินตรา ความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อร่างกาย
ความผิดต่อเสรีภาพ ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์ ความผิดฐานกรรโชก รีดเอาทรัพย์
ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ ความผิดฐานยักยอก ความผิดฐานรับของโจร และความผิดฐานทำให้
เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้เข้าคุกเว้นแต่เป็นโทษ
สำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือพ้นโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี

   มาตรา 50 ในกรณีที่ผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43(4)หรือ(5) เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ
ตามมาตรา 49 (8) แต่พ้นโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า
   (1) หกเดือนสำหรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาไม่เกินสามเดือน
   (2) หนึ่งปีสำหรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาไม่เกินสามเดือนแต่คดีนั้นเกี่ยวด้วยการใช้รถ
กระทำความผิด หรือ
   (3) หนึ่งปีหกเดือนสำหรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาเกินสามเดือน แต่ไม่เกินสามปี
   และได้ยื่นคำร้อยต่อนายทะเบียนโดยชี้แจงถึงเหตุผลที่ตนต้องโทษพร้อมกับแสดงหลักฐานว่า
ตนเป็นบุคคลที่มีความประพฤติเรียบร้อยควรไว้วางใจให้ขับรถยนต์สาธารณะได้ ให้นายทะเบียน
ดำเนินการสอบสวนคำร้องดังกล่าว ถ้าเห็นด้วยกับคำร้อง มิให้นำบทบัญญัติมาตรา 49(8) มา
ใช้บังคับ แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ให้สั่งยกคำร้องและแจ้งให้ผู้ขอทราบ
   ผู้ขอมีสิทธิอุทธรณ์เป็นหนังสือต่ออธิบดีภายในสิบห้าวันแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากนายทะเบียน
   คำสั่งของอธิบดีให้เป็นที่สุด

   มาตรา 51 ผู้ขอใบอนุญาตขับรถตามมาตรา 43 (7)(8) หรือ (9) ต้อง
   (1) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 46 และ
   (2) มีความรู้ความสามารถในการขับรถประเภทนั้น ๆ เป็นอย่างดี

   มาตรา 52 ให้นายทะเบียนแต่งตั้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ตรวจสอบ
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาตตามมาตรา 46 มาตรา 47 มาตรา 48
มาตรา 49 และมาตรา 51

   มาตรา 53 ผู้ใดได้รับใบอนุญาตขับรถประเภทใดแล้ว หากปรากฏในภายหลังว่าเป็นผู้ขาด
คุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับผู้ขอรับใบอนุญาตขับรถประเภทนั้น ให้
นายทะเบียนสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถนั้น

   มาตรา 54 ผู้ใดได้รับใบอนุญาตขับรถแล้ว หากปรากฏว่า
   (1) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้หรือกฎกระทรวงที่
ออกตามพระราชบัญญัตินี้
   (2) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าพนักงานจราจร หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
   (3) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดฐานขับรถหรือกระทำการใด ๆ อันน่าจะ
เป็นภัยต่อประชาชน หรือ
   (4) มีผู้กล่าวโทษว่าทำลายความสงบสุขของประชาชนในถนนหรือทางหลวง โดยขู่เข็ญ
ดูหมิ่น รังแก หรือรบกวนคนขับรถด้วยกันหรือผู้โดยสาร
   นายทะเบียนมีอำนาจเรียกใบอนุญาตขับรถมายึดไว้ได้ แต่ห้ามมิให้ยึดเกินหนึ่งปี
   ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตขับรถเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาประเภทที่ระบุไว้ในมาตรา 49(8) ให้
นายทะเบียนหรือเจ้าพนักงานซึ่งอธิบดีแต่งตั้งยึดใบอนุญาตขับรถตั้งแต่วันยื่นฟ้องต่อศาลจนถึงเวลา
ที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด และในระหว่างเวลาดังกล่าวห้ามมิให้นายทะเบียนต่ออายุใบอนุญาตขับรถ
   ในการยึดใบอนุญาตขับรถ ให้ผู้ยึดบันทึกการยึดไว้ในใบอนุญาตขับรถด้วย

   มาตรา 55 ในกรณีที่ใบอนุญาตขับรถสูญหายหรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้รับใบอนุญาตขับรถ
ยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาตขับรถต่อนายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบเหตุนั้น และในกรณี
ที่ได้ใบอนุญาตขับรถที่สูญหายคืน ให้ส่งใบแทนใบอนุญาตขับรถนั้นแก่นายทะเบียนภายในสิบห้าวันนับแต่
วันได้คืน
   การขอใบแทนใบอนุญาตขับรถ และการออกใบแทนใบอนุญาตขับรถตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไป
ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

   มาตรา 56 ภายใต้บังคับมาตรา 43 และมาตรา 57 ห้ามมิให้เจ้าของรถหรือคนขับรถยินยอม
ให้ผู้ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับรถ หรือมีใบอนุญาตขับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้ เข้าขับรถของตน
หรือรถที่ตนเป็นคนขับ

   มาตรา 57 ผู้ใดฝึกหัดขับรถยนต์ ต้องมีผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์มาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
ควบคุมอยู่ด้วย
   ในการฝึกหัดขับรถ ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ฝึกหัดและผู้ควบคุมอยู่ในรถ ถ้ามีการเสียหายเกิดขึ้น
ผู้ควบคุมต้องรับผิดทางแพ่ง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ฝึกหัดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสอนในเวลา
ที่ขับอยู่นั้น

   มาตรา 58 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงออกตามมาตรา 5(2)(3)(5)(6)(7)
(8)(9)(10)(11)(14)(15)หรือ(16) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

   มาตรา 59 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 6 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

   มาตรา 60 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 6 วรรคสอง มาตรา 11 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง
มาตรา 13 วรรคหนึ่ง มาตรา 14 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง มาตรา 17 วรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา 18 วรรคหนึ่ง มาตรา 20 วรรคหนึ่ง มาตรา 21 มาตรา 22 วรรคหนึ่ง มาตรา 27
วรรคหนึ่ง มาตรา 56 หรือมาตรา 57 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท

   มาตรา 61 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 15 มาตรา 28 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน
ตามมาตรา 36 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

   มาตรา 62 ผู้ใดรับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยใช้รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
หรือรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัดในท้องที่ที่รัฐมนตรีประกาศตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง โดยไม่ได้
รับอนุญาตจากนายทะเบียน หรือไม่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 23 วรรคสองหรือวรรคสาม ต้อง
ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

   มาตรา 63 ผู้ใดรับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยใช้รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
หรือรถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัดในท้องที่ที่รัฐมนตรีประกาศตามมาตรา 23 วรรคหนึ่ง เมื่อใบอนุญาต
สิ้นอายุหรือใบอนุญาตถูกเพิกถอน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท

   มาตรา 64 ผู้ใดขับรถโดยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 65 ผู้ใดขับรถเมื่อใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุหรือระหว่างถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถหรือ
ถูกยึดใบอนุญาตขับรถ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท

   มาตรา 66 ผู้ใดขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาตขับรถ และสำเนาภาพถ่ายใบคู่มือจดทะเบียนรถ
ตามมาตรา 42 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

   มาตรา 67 ผู้ใด
   (1) ให้ผู้อื่นใช้ใบอนุญาต หรือเครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้แก่ตน
   (2) ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้สำหรับรถคันหนึ่งกับรถอีกคันหนึ่ง
   (3) ใช้เครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้แก่ผู้อื่น
   (4) เปลี่ยนแปลงโดยวิธีใด ๆ หรือปิดบังทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งเครื่องหมายที่นายทะเบียน
ออกให้ประจำรถ หรือ
   (5) ใช้รถที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามมาตรา 9 หรือยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
ประจำปีตามมาตรา 30 หรือลดภาษีประจำปีตามมาตรา 31 ผิดไปจากวัตถุประสงค์ที่ได้รับยกเว้น
หรือลด
   ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท

   มาตรา 68 เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีประจำปี ในกรณีที่เป็นรถที่จดทะเบียนแล้ว
การเสียภาษีประจำปีในปีแรกภายหลังวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้นายทะเบียนเปลี่ยนแปลง
กำหนดระยะเวลาการเสียภาษีใหม่ โดยเฉลี่ยจำนวนรถที่จะต้องเสียภาษีออกไปเป็นรายเดือน
ตามระยะเวลาและจำนวนที่นายทะเบียนเห็นสมควร และประกาศ ณ ที่ทำการของนายทะเบียน
ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน ทั้งนี้ ให้นายทะเบียนดำเนินการภายใน
สองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   การคิดภาษีเป็นรายเดือนตามวรรคหนึ่ง ให้คิดเฉลี่ยจากอัตราภาษีประจำปีสำหรับรถชนิดนั้น

   มาตรา 69 สำหรับรถและเครื่องอุปกรณ์ของรถอันมิชอบด้วยพระราชบัญญัตินี้ที่มีอยู่แล้วในวัน
ที่ประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา หรือที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักรภายในหก
เดือนนับแต่วันที่ประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา ให้รัฐมนตรีมีอำนาจผ่อนผันได้
ตามควรแก่กรณี และถ้าจะอนุญาตให้ใช้ต่อไป ให้มีกำหนดเวลาไม่เกินสามปี นับแต่วันที่ประกาศ
พระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 70 บรรดากฎกระทรวง คำสั่ง หรือประกาศที่ออกตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช
2473 ให้ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมีกฎกระทรวง
คำสั่ง หรือประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 71 ในท้องที่ใดที่ได้มีการประกาศให้การประกอบการรับจ้างบรรทุกคนโดยสารใช้
รถยนต์บรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคนต้องดำเนินการโดยบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทจำกัดหรือ
สหกรณ์ และต้องได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช 2473
รวมทั้งที่ได้มีการขยายระยะเวลาตามประกาศดังกล่าว ให้ถือว่าประกาศนั้นเป็นประกาศของ
รัฐมนตรีตามมาตรา 23 และให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการในท้องที่ดังกล่าวอยู่แล้วในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 23 และต้องดำเนินการโดย
บริษัทมหาชนจำกัด บริษัทจำกัดหรือสหกรณ์ต่อไป

   มาตรา 72 บรรดาใบอนุญาตและใบอนุญาตขับรถยนต์ที่ออกตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พุทธศักราช
2473 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุใบอนุญาตหรือ
ใบอนุญาตขับรถยนต์นั้น
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
ได้ประกาศใช้บังคับมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 นับเป็นเวลาเกือบห้าสิบปีแล้ว และในระหว่างระยะเวลา
ดังกล่าวมีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้วประมาณยี่สิบครั้ง อย่างไรก็ดียังมีบทบัญญัติอีกหลายมาตราที่ใช้อยู่
ไม่เหมาะสมกับกาลสมัยและสภาพการณ์ของบ้านเมือง สมควรปรับปรุงเสียใหม่ให้เหมาะสมและ
รัดกุมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 78 หน้า 1   12 พฤษภาคม 2522)

                            อัตราค่าธรรมเนียม
   (1) คำขอ                               ฉบับละ     5  บาท
   (2) ใบคู่มือจดทะเบียนรถ                    ฉบับละ   100  บาท
   (3) แผ่นป้ายทะเบียนรถ                     แผ่นละ   100  บาท
   (4) การขอค้นทะเบียนรถหรือขอแก้ไขเพิ่มเติมรายการ
       ในทะเบียนรถและใบคู่มือจดทะเบียนรถ
       (ก) รถจักรยานยนต์                    ครั้งละ    10  บาท
       (ข) รถอื่นนอกจาก (ก)                 ครั้งละ    50  บาท
   (5) การโอนทะเบียนรถ                     ครั้งละ   100  บาท
   (6) การย้ายรถ
       (ก) รถยนต์                          ครั้งละ    50  บาท
       (ข) รถอื่นนอกจาก (ก)                 ครั้งละ    20  บาท
   (7) การตรวจสภาพรถ
       (ก) รถจักรยานยนต์                     คันละ    10  บาท
       (ข) รถอื่นนอกจาก (ก)                  คันละ    50  บาท
   (8) ใบอนุญาตตามมาตรา 23                 ฉบับละ 1,000  บาท
   (9) ใบอนุญาตตามมาตรา 27                 ฉบับละ 1,000  บาท
  (10) เครื่องหมายพิเศษตามมาตรา 27            อันละ   100  บาท

  (11) สมุดคู่มือประจำรถตามมาตรา 27           เล่มละ   100  บาท
  (12) ใบอนุญาตรถยนต์ตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจร
       ทางถนน ทำ ณ นครเจนีวา ค.ศ.1949 ซึ่ง
       ประเทศไทยได้ภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม
       2505                               ฉบับละ 1,000  บาท
  (13) ใบอนุญาตขับรถยนต์ตามอนุสัญญาว่าด้วย
       การจราจรทางถนน ทำ ณ นครเจนีวา
       ค.ศ.1949 ซึ่งประเทศไทยได้ภาคยานุวัติ
       เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2505              ฉบับละ   500  บาท
  (14) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว        ฉบับละ   100  บาท
  (15) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลหนึ่งปี          ฉบับละ   100  บาท
  (16) ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ        ฉบับละ 1,000  บาท
  (17) ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะหนึ่งปี          ฉบับละ   100  บาท
  (18) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลชั่วคราว   ฉบับละ    50  บาท
  (19) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลหนึ่งปี     ฉบับละ    50  บาท
  (20) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคลตลอดชีพ   ฉบับละ   750  บาท
  (21) ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะหนึ่งปี     ฉบับละ    50  บาท

  (22) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราว         ฉบับละ    50  บาท
  (23) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์หนึ่งปี           ฉบับละ    50  บาท
  (24) ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ตลอดชีพ         ฉบับละ   500  บาท
  (25) ใบอนุญาตขับรถบดถนนสามปี               ฉบับละ   150  บาท
  (26) ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์สามปี            ฉบับละ   150  บาท
  (27) ใบอนุญาตขับรถนอกจาก (14) ถึง (26)     ฉบับละ    50  บาท
  (28) การแก้ไขรายการในใบอนุญาตขับรถ         ครั้งละ    50  บาท
  (29) หนังสืออนุญาตตามมาตรา 17 วรรคสอง
       หรือมาตรา 18                        ฉบับละ    50  บาท
  (30) ใบแทนใบคู่มือจดทะเบียนรถ               ฉบับละ    50  บาท
  (31) ใบแทนใบอนุญาต ครั้งหนึ่งของค่าธรรมเนียม
       ใบอนุญาต แต่ไม่เกินฉบับละ                       100  บาท
  (32) ใบแทนเครื่องหมายการเสียภาษีประจำปี      ฉบับละ    20  บาท
  (33) ใบแทนหนังสืออนุญาต                    ฉบับละ    25  บาท
  (34) ค่าธรรมเนียมอื่น                       ครั้งละ    20  บาท
  (35) การรับรองสำเนาเอกสาร                แผ่นละ    20  บาท

                            อัตราภาษีประจำปี
   (1) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน ให้เก็บภาษีตามน้ำหนักในอัตราดังต่อไปนี้
       (ก) น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม    กิโลกรัมละ     1  บาท
       (ข) น้ำหนักส่วนที่เกิน 500 กิโลกรัม
           แต่ไม่เกิน 1,000 กิโลกรัม     กิโลกรัมละ     2  บาท
       (ค) น้ำหนักส่วนที่เกิน 1,000
           กิโลกรัม                   กิโลกรัมละ     4  บาท

   (2) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคน ให้เก็บภาษีตามน้ำหนักในอัตราดังต่อไปนี้
       (ก) น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม        คันละ   150  บาท
       (ข) น้ำหนักตั้งแต่ 501-750 กิโลกรัม     คันละ   300  บาท
       (ค) น้ำหนักตั้งแต่ 751-1,000
           กิโลกรัม                       คันละ   450  บาท
       (ง) น้ำหนักตั้งแต่ 1,000-1,250
           กิโลกรัม                       คันละ   800  บาท
       (จ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,251-1,500
           กิโลกรัม                       คันละ 1,000  บาท
       (ฉ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,501-1,750
           กิโลกรัม                       คันละ 1,300  บาท
       (ช) น้ำหนักตั้งแต่ 1,751-2,000
           กิโลกรัม                       คันละ 1,600  บาท
       (ซ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,001-2,500
           กิโลกรัม                       คันละ 1,900  บาท
       (ฌ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,501-3,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,200  บาท

       (ญ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,001-3,500
           กิโลกรัม                       คันละ 2,400  บาท
       (ฎ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,501-4,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,600  บาท
       (ฏ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,001-4,500
           กิโลกรัม                       คันละ 2,800  บาท
       (ฐ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,501-5,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,000  บาท
       (ฑ) น้ำหนักตั้งแต่ 5,001-6,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,200  บาท
       (ฒ) น้ำหนักตั้งแต่ 6,001-7,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,400  บาท
       (ณ) น้ำหนักตั้งแต่ 7,001 กิโลกรัม
           ขึ้นไป                         คันละ 3,600  บาท
   (3) รถจักรยานยนต์                      คันละ   100  บาท
   (4) รถพ่วงของรถจักรยานยนต์              คันละ    50  บาท
   (5) รถพ่วงนอกจาก (4)                  คันละ   100  บาท
   (6) รถบดถนน                          คันละ   200  บาท
   (7) รถแทรกเตอร์ใช้ในการเกษตร           คันละ    50  บาท

   (8) รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด รถยนต์บริการ ให้เก็บภาษีตาม น้ำหนักในอัตรา ดังต่อไปนี้
       (ก) น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม        คันละ   450  บาท
       (ข) น้ำหนักตั้งแต่ 501-750 กิโลกรัม     คันละ   750  บาท
       (ค) น้ำหนักตั้งแต่ 751-1,000 กิโลกรัม   คันละ 1,050  บาท
       (ง) น้ำหนักตั้งแต่ 1,001-1,250
           กิโลกรัม                       คันละ 1,350  บาท
       (จ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,251-1,500
           กิโลกรัม                       คันละ 1,650  บาท
       (ฉ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,501-1,750
           กิโลกรัม                       คันละ 2,100  บาท
       (ช) น้ำหนักตั้งแต่ 1,751-2,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,550  บาท
       (ซ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,001-2,500
           กิโลกรัม                       คันละ 3,000  บาท
       (ฌ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,501-3,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,450  บาท

       (ญ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,001-3,500
           กิโลกรัม                       คันละ 3,900  บาท
       (ฎ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,501-4,000
           กิโลกรัม                       คันละ 4,350  บาท
       (ฏ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,001-4,500
           กิโลกรัม                       คันละ 4,800  บาท
       (ฐ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,501-5,000
           กิโลกรัม                       คันละ 5,250  บาท
       (ฑ) น้ำหนักตั้งแต่ 5,001-6,000
           กิโลกรัม                       คันละ 5,700  บาท
       (ฒ) น้ำหนักตั้งแต่ 6,001-7,000
           กิโลกรัม                       คันละ 6,150  บาท
       (ณ) น้ำหนักตั้งแต่ 7,001 กิโลกรัม
           ขึ้นไป                         คันละ 6,600  บาท

   (9) รถยนต์รับจ้าง ให้เก็บภาษีตามน้ำหนักในอัตราดังต่อไปนี้
       (ก) น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม        คันละ   185  บาท
       (ข) น้ำหนักตั้งแต่ 501-750 กิโลกรัม     คันละ   310  บาท
       (ค) น้ำหนักตั้งแต่ 751-1,000 กิโลกรัม   คันละ   450  บาท
       (ง) น้ำหนักตั้งแต่ 1,001-1,250
           กิโลกรัม                       คันละ   460  บาท
       (จ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,251-1,500
           กิโลกรัม                       คันละ   685  บาท
       (ฉ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,501-1,750
           กิโลกรัม                       คันละ   875  บาท
       (ช) น้ำหนักตั้งแต่ 1,751-2,000
           กิโลกรัม                       คันละ 1,060  บาท
       (ซ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,001-2,500
           กิโลกรัม                       คันละ 1,250  บาท
       (ฌ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,501-3,000
           กิโลกรัม                       คันละ 1,435  บาท
       (ญ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,001-3,500
           กิโลกรัม                       คันละ 1,625  บาท
       (ฎ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,501-4,000
           กิโลกรัม                       คันละ 1,810  บาท
       (ฏ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,001-4,500
           กิโลกรัม                       คันละ 2,000  บาท
       (ฐ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,501-5,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,185  บาท
       (ฑ) น้ำหนักตั้งแต่ 5,001-6,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,375  บาท
       (ฒ) น้ำหนักตั้งแต่ 6,001-7,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,560  บาท
       (ณ) น้ำหนักตั้งแต่ 7,001 กิโลกรัม
           ขึ้นไป                         คันละ 2,750  บาท

  (10) รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลหรือรถยนต์สำหรับลากจูงซึ่งมิได้ใช้ในการประกอบการขนส่ง
ส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกหรือรถแทรกเตอร์ที่มิได้ใช้ในการเกษตร ให้เก็บ
ภาษีตามน้ำหนักในอัตราดังต่อไปนี้
       (ก) น้ำหนักไม่เกิน 500 กิโลกรัม        คันละ   300  บาท
       (ข) น้ำหนักตั้งแต่ 501-750 กิโลกรัม     คันละ   450  บาท
       (ค) น้ำหนักตั้งแต่ 751-1,000 กิโลกรัม   คันละ   600  บาท
       (ง) น้ำหนักตั้งแต่ 1,001-1,250
           กิโลกรัม                       คันละ   750  บาท
       (จ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,251-1,500
           กิโลกรัม                       คันละ   900  บาท
       (ฉ) น้ำหนักตั้งแต่ 1,501-1,750
           กิโลกรัม                       คันละ 1,050  บาท
       (ช) น้ำหนักตั้งแต่ 1,751-2,000
           กิโลกรัม                       คันละ 1,350  บาท
       (ซ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,001-2,500
           กิโลกรัม                       คันละ 1,650  บาท
       (ฌ) น้ำหนักตั้งแต่ 2,501-3,000
           กิโลกรัม                       คันละ 1,950  บาท

       (ญ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,001-3,500
           กิโลกรัม                       คันละ 2,250  บาท
       (ฎ) น้ำหนักตั้งแต่ 3,501-4,000
           กิโลกรัม                       คันละ 2,550  บาท
       (ฏ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,001-4,500
           กิโลกรัม                       คันละ 2,850  บาท
       (ฐ) น้ำหนักตั้งแต่ 4,501-5,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,150  บาท
       (ฑ) น้ำหนักตั้งแต่ 5,001-6,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,450  บาท
       (ฒ) น้ำหนักตั้งแต่ 6,001-7,000
           กิโลกรัม                       คันละ 3,750  บาท
       (ณ) น้ำหนักตั้งแต่ 7,001 กิโลกรัม
           ขึ้นไป                         คันละ 4,050  บาท
   ในการคำนวณน้ำหนัก ให้รวมน้ำหนักของรถและเครื่องอุปกรณ์ที่ติดกับตัวรถตามปกติแต่ไม่รวม
น้ำหนักน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเครื่อง น้ำและเครื่องมือประจำรถ ถ้ามีเศษของกิโลกรัมให้ปัดทิ้ง