พระราชบัญญัติ
                             แร่ (ฉบับที่ 3)
                               พ.ศ.2522
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2522
                        เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยแร่
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2522"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 6 ทวิ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการสำรวจ การทดลองการศึกษา หรือการวิจัย
เกี่ยวกับแร่ ให้รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด
พื้นที่ใด ๆ ให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ได้
   ภายในเขตที่กำหนดตามวรรคหนึ่งผู้ใดจะยื่นคำขออาชญาบัตรประทานบัตรชั่วคราว หรือ
ประทานบัตรไม่ได้ เว้นแต่ในกรณีที่รัฐมนตรีเห็นสมควรให้ยื่นคำขอได้เป็นกรณีพิเศษโดยประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา
   เมื่อหมดความจำเป็นที่จะใช้เขตพื้นที่เพื่อประโยชน์ดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรี
ประกาศยกเลิกในราชกิจจานุเบกษา"

   มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 6 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 6 จัตวา เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี
มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดพื้นที่ใดที่มิใช่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม ที่ได้ทำการ
สำรวจแล้วปรากฏว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อออก
ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรได้เป็นอันดับแรกก่อนการสงวนหวงห้าม หรือใช้ประโยชน์
อย่างอื่นในที่ดินในพื้นที่นั้น แต่ทั้งนี้ให้คำนึงถึงผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วย"

   มาตรา 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 9 ตรี แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 9 ตรี ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้เนื้อที่ในเขตอาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว
หรือประทานบัตรใดเพื่อประโยชน์แก่การอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศหรือเพื่อ
ประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นของรัฐ ให้รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจเรียกอาชญาบัตร
ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรนั้นมาแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ในเขตอาชญาบัตร
ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรได้
   ในกรณีที่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเนื้อที่ในเขตอาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว หรือ
ประทานบัตรตามวรรคหนึ่ง ผู้ถืออาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรจะเรียกร้อง
ค่าเสียหายใด ๆ มิได้"

   มาตรา 6 ให้ยกเลิกความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 12 ในเขตอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ เขตอาชญาบัตรพิเศษหรือเขตเหมืองแร่
หรือในเขตที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่เพื่อเก็บขังน้ำขุ่นข้นหรือมูลดินทราย หรือในเขตที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้กำหนดเขตเพื่อการดังกล่าวแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดนอกจากผู้ถืออาชญาบัตร ผู้ถือ
ประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตร หรือผู้รับใบอนุญาตเข้าไปยึดถือครอบครอง ทำลาย หรือ
ทำให้เสื่อมสภาพพื้นที่หรือทรัพยากรในเขตนั้นเว้นแต่ผู้นั้นมีสิทธิทำเช่นนั้นได้โดยชอบด้วยกฎหมาย"

   มาตรา 7 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 15 ทวิ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดหรืออายัดบรรดาแร่ที่มีไว้เนื่องใน
การกระทำความผิด และเครื่องมือ เครื่องใช้สัตว์พาหนะ ยานพาหนะหรือเครื่องจักรกลใด ๆ
ที่บุคคลได้ใช้ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผล
ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้จนกว่า
พนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำ
ความผิดหรือของผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่
   ทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดไว้ตามวรรคหนึ่ง ถ้าพนักงานอัยการสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือศาล
ไม่พิพากษาให้ริบ และผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองมิได้ร้องขอรับคืนภายในกำหนดหกเดือน
นับแต่วันทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือวันที่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้วแต่กรณี
ให้ตกเป็นของกรมทรัพยากรธรณี
   ถ้าทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดไว้จะเป็นการเสี่ยงต่อความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
จะเกินค่าของทรัพย์สิน รัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งรัฐมนตรีมอบหมายจะจัดการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น
ก่อนถึงกำหนดตามวรรคสองก็ได้ ได้เงินเป็นจำนวนสุทธิเท่าใดให้ยึดไว้แทนทรัพย์สินนั้น
   การขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินตามวรรคสาม ให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด

   มาตรา 8 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 15 ตรี แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 15 ตรี ในกรณีทรัพย์สินที่ยึดไว้ตามมาตรา 15 ทวิ วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นของผู้
กระทำความผิด หรือของผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิด ให้พนักงานเจ้าหน้าที่
โดยอนุมัติรัฐมนตรีคืนทรัพย์สินหรือเงิน แล้วแต่กรณี ให้แก่เจ้าของ ก่อนถึงกำหนดตามมาตรา
15 ทวิ วรรคหนึ่ง ได้ในกรณีดังต่อไปนี้
   (1) เมื่อทรัพย์สินนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีที่เป็นเหตุให้
ทรัพย์สินนั้นถูกยึด หรือ
   (2) เมื่อผู้กระทำความผิดหรือผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำความผิดได้ทรัพย์สินนั้นมา
จากผู้เป็นเจ้าของโดยการกระทำความผิดทางอาญา"

   มาตรา 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (3 ทวิ) ของมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติแร่
พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516
   "(3 ทวิ) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตให้ผู้อื่นรับช่วงการทำ
เหมืองและเลิกรับช่วงการทำเหมือง"

   มาตรา 10 ให้ยกเลิกความในมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 19 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำและความเห็นแก่รัฐมนตรีใน
เรื่องดังต่อไปนี้
   (1) การออกอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ อาชญาบัตรพิเศษประทานบัตรชั่วคราวและ
ประทานบัตร ในพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือพื้นที่เขตหวงห้ามของทางราชการ
   (2) การต่ออายุอาชญาบัตรพิเศษ และประทานบัตร
   (3) การอนุญาตให้โอนประทานบัตร
   (4) การสั่งเพิกถอนอาชญาบัตร และประทานบัตร
   (5) เรื่องอื่นตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย"

   มาตรา 11 ให้ยกเลิกความในวรรคสองของมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "ผู้ยื่นคำขออาชญาบัตรพิเศษต้องกำหนดข้อผูกพันสำหรับการสำรวจ โดยระบุปริมาณเงินที่
จะใช้จ่ายเพื่อการสำรวจสำหรับแต่ละปีตลอดอายุของอาชญาบัตรพิเศษ และผู้ยื่นคำขออาชญา
บัตรพิเศษจะเสนอให้ผลประโยชน์พิเศษเพื่อประโยชน์แก่รัฐตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนดด้วย
ก็ได้ และให้ผลประโยชน์พิเศษเพื่อประโยชน์แก่รัฐดังกล่าวมีผลผูกพันผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษ
ต่อไปด้วย เมื่อผู้ถืออาชญาบัตรพิเศษนั้นได้รับประทานบัตรชั่วคราวหรือประทานบัตรสำหรับ
การทำเหมืองแร่ในเขตเนื้อที่ที่ตนได้รับอาชญาบัตรพิเศษนั้นด้วย"

   มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 44 ผู้ใดประสงค์จะขอประทานบัตร ให้ยื่นคำขอต่อทรัพยากรธรณีประจำท้องที่
พร้อมด้วยหลักฐานที่เชื่อถือได้ว่าพบแร่หรือมีแร่ชนิดที่ประสงค์จะเปิดการทำเหมืองอยู่ใน
เขตคำขอนั้น และผู้ยื่นคำขอจะเสนอให้ผลประโยชน์พิเศษเพื่อประโยชน์แก่รัฐในกรณีที่ได้รับ
ประทานบัตรตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนดด้วยก็ได้
   คำขอประทานบัตรแต่ละคำขอจะขอได้เขตหนึ่งไม่เกินสามร้อยไร่เว้นแต่คำขอประทานบัตร
ทำเหมืองในทะเล"

   มาตรา 13 ให้ยกเลิกความในมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 45 ในการออกประทานบัตรทำเหมืองในทะเล รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดเขตเหมืองแร่
ให้แก่ผู้ขอไม่เกินรายละห้าหมื่นไร่ เว้นแต่ในกรณีที่รัฐมนตรีโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเห็นสมควร
กำหนดเขตเหมืองแร่ให้ผู้ขอเกินห้าหมื่นไร่
   ในการออกประทานบัตรตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เป็นพิเศษตามที่
เห็นสมควรให้ผู้ถือประทานบัตรปฏิบัติก็ได้"

   มาตรา 14 ให้ยกเลิกความในมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 55 นอกจากค่าธรรมเนียมการออกประทานบัตรชั่วคราวหรือประทานบัตร ให้ผู้ถือ
ประทานบัตรชั่วคราวหรือผู้ถือประทานบัตร เสียค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ในการทำเหมืองทุกปี
ตามจำนวนเนื้อที่ตลอดเขตเหมืองแร่ โดยต้องชำระล่วงหน้าแต่ละปี และต้องเสียเงินบำรุงพิเศษ
ในอัตราไม่เกินร้อยละสิบของค่าภาคหลวงแร่ที่ผลิตได้จากประทานบัตรชั่วคราวหรือประทานบัตร
ให้กรมทรัพยากรธรณีเก็บรักษาเงินบำรุงพิเศษดังกล่าวไว้เพื่อจัดสรรสำหรับใช้จ่ายในการฟื้นฟู
พื้นที่ที่ได้ใช้ทำเหมืองแล้วการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
และการใช้จ่ายในการบำรุงท้องถิ่นในจังหวัดที่มีการทำเหมือง
   อัตราการเสียเงินบำรุงพิเศษ หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเรียกเก็บเงินบำรุงพิเศษ
รวมตลอดทั้งการจัดสรรเงินบำรุงพิเศษให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง"

   มาตรา 15 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตรับช่วงการทำเหมืองและเลิกรับช่วง
การทำเหมือง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง"

   มาตรา 16 ให้ยกเลิกความในมาตรา 103 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่ง
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 103 ทวิ เมื่อรัฐมนตรีพิจารณาเห็นสมควรจะประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด
ให้แร่ชนิดใดในปริมาณเท่าใดเป็นแร่ที่จะให้ผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือผู้เก็บได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม
บทบัญญัติแห่งหมวดนี้ได้ แต่ต้องเป็นแร่ที่ได้ชำระค่าภาคหลวงแร่ครบถ้วนตามมาตรา 104 แล้ว"

   มาตรา 17 ให้ยกเลิกความในมาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 104 ผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตร ผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่ ผู้ครอบครอง
แร่อื่นที่ได้จากการแต่งแร่ หรือผู้ประกอบโลหกรรม ต้องชำระค่าภาคหลวงแร่ ตามกฎหมายว่าด้วย
พิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ ดังต่อไปนี้
   (1) ต้องชำระค่าภาคหลวงแร่สำหรับแร่ที่กำหนดไว้ในประทานบัตร รวมทั้งแร่อื่นที่เป็น
ผลพลอยได้จากการทำเหมือง ให้ครบถ้วนตามปริมาณแร่ก่อนที่จะขนแร่ออกจากเขตเหมืองแร่
   (2) ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่ได้ซื้อแร่จากผู้รับใบอนุญาตร่อนแร่ ต้องชำระค่าภาคหลวงแร่
สำหรับที่ซื้อในเดือนที่แล้วมาภายในวันที่ห้าของเดือนถัดจากเดือนที่ซื้อ
   (3) ในกรณีที่ผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตร หรือผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่ ที่ซื้อแร่
จากผู้รับใบอนุญาตร่อนแร่ ขนแร่ไปยังเขตแต่งแร่หรือเขตโลหกรรมของตนเองหรือเขตแต่งแร่
หรือเขตโลหกรรมของบุคคลอื่นซึ่งอธิบดีให้ความเห็นชอบแล้ว บุคคลดังกล่าวจะขอผัดการชำระ
ค่าภาคหลวงแร่ไว้ก่อนจนกว่าจะแต่งแร่หรือประกอบโลหกรรมนั้นแล้วเสร็จก็ได้ แต่ต้องวาง
เงินประกันหรือจัดให้ธนาคารคซึ่งอธิบดีเห็นชอบเป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าภาคหลวงแร่ไว้ต่อ
ทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ตามที่ทรัพยากรธรณีประจำท้องที่กำหนด
   (4) ในกรณีที่นำแร่มาแต่งและได้แร่อย่างอื่นด้วย ต้องชำระค่าภาคหลวงแร่ สำหรับแร่ที่
แต่งได้พร้อมกับการขออนุญาตมีแร่ไว้ในครอบครองตามมาตรา 105
   (5) ในกรณีที่ตะกรันมีแร่ชนิดอื่นที่ยังมิได้ชำระค่าภาคหลวงแร่มาก่อนเจือปนอยู่เกินปริมาณที่
อธิบดีกำหนด ผู้ประกอบโลหกรรมต้องชำระค่าภาคหลวงแร่สำหรับแร่ที่เจือปนตามปริมาณที่คำนวณได้
ให้ครบถ้วนก่อนที่จะขนตะกรันนั้นออกจากเขตโลหกรรม
   ในกรณีที่มีการซื้อขายแร่ที่ตกเป็นของแผ่นดิน หากปรากฏว่าแร่นั้นเป็นแร่ที่ยังมิได้ชำระ
ค่าภาคหลวงแร่ ผู้ซื้อต้องชำระค่าภาคหลวงแร่ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่
สำหรับแร่ดังกล่าวพร้อมกับการขออนุญาตมีแร่ไว้ในครอบครองตามมาตรา 105"

   มาตรา 18 ให้ยกเลิกความในมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 105 ห้ามมิให้ผู้ใดมีแร่ไว้ในครอบครองแต่ละชนิดเกินสองกิโลกรัม เว้นแต่
   (1) เป็นแร่ที่ได้รับใบอนุญาตมีแร่ไว้ในครอบครอง หรือเป็นแร่ที่ได้รับการยกเว้นตาม
มาตรา 103 ทวิ
   (2) เป็นแร่ที่ได้มาจากการสำรวจแร่เพื่อนำไปวิเคราะห์หรือวิจัยไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้
ในอาชญาบัตร
   (3) เป็นแร่ที่ได้มาจากการทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ที่เก็บแร่นั้นไว้
   (4) เป็นแร่ที่ได้รับใบอนุญาตขนแร่ให้ขนมาเก็บในสถานที่เก็บแร่ตามใบอนุญาตตั้งสถานที่เก็บแร่
   (5) เป็นแร่ที่อยู่ในระหว่างขอนแร่ตามใบอนุญาตขนแร่ หรือเป็นแร่ที่อยู่ในสถานที่พักแร่
ตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาตขนแร่
   (6) เป็นแร่ในสถานที่ซื้อแร่ ซึ่งแร่นั้นได้มาตามเอกสารที่กำหนดไว้ในมาตรา 98
   (7) เป็นแร่ที่ได้รับใบอนุญาตขนแร่ให้ขนมาแต่งแร่หรือประกอบโลหกรรมในเขตแต่งแร่หรือ
เขตโลหกรรมนั้น
   (8) เป็นแร่ที่ได้มาตามใบอนุญาตขุดหาแร่รายย่อย หรือใบอนุญาตร่อนแร่หรือได้มาตาม (3)
 วรรคสอง ของมาตรา 92
   (9) เป็นแร่ที่มีไว้ในครอบครองเพื่อการศึกษาหรือวิจัยของสถาบันวิจัยเอกชนที่ได้รับอนุญาต
เป็นหนังสือจากอธิบดี ส่วนราชการ องค์การของรัฐ หรือสถาบันการศึกษา
  (10) เป็นแร่ที่อธิบดีอนุญาตเป็นหนังสือให้มีไว้ในครอบครองเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย หรือ
  (11) เป็นแร่ในสภาพวัตถุสำเร็จรูปที่เป็นเครื่องใช้ เครื่องประดับปฏิมากร หรือผลผลิต
จากกรรมวิธีของโลหกรรมหรืออุตสาหกรรม"

   มาตรา 19 ให้ยกเลิกความในมาตรา 110 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 110 ผู้รับใบอนุญาตขนแร่จะขนแร่จากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งตามที่กำหนดใน
ใบอนุญาตได้แต่ละคราวตามปริมาณที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต
   การขนแร่เกินใบอนุญาตสำหรับแร่ชนิดใดจะกระทำได้เพียงใดและมีปริมาณเท่าใดให้เป็นไป
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
   การขนแร่เกินใบอนุญาตตามวรรคสอง ให้ถือว่าแร่นั้นเป็นแร่ที่ขนตามที่ได้รับอนุญาตให้ขนแร่
แต่ผู้รับใบอนุญาตขนแร่ต้องชำระค่าภาคหลวงแร่ สำหรับแร่ในปริมาณที่เกินนั้น
   การขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นนั้นเป็น
แร่ที่ขนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต"

   มาตรา 20 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 113 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 113 ทวิ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดพื้นที่หรือ
สถานที่แห่งใดอันมีเขตกำหนดเป็นด่านตรวจแร่ได้"

   มาตรา 21 ให้ยกเลิกความในมาตรา 148 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 148 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 105 หรือมาตรา 108 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่า
ถึงห้าเท่าของมูลค่าของมูลค่าแร่ตามราคาที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่
ที่ใช้บังคับอยู่ในวันกระทำความผิด และรัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตร
หรือใบอนุญาตนั้นเสียได้เมื่อปรากฏว่า
   (1) มีแร่จากที่อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในเขตเหมืองแร่ เขตแต่งแร่
เขตโลหกรรม สถานที่เก็บแร่ หรือสถานที่ซื้อแร่ หรือ
   (2) ขนแร่จากเขตเหมืองแร่ เขตแต่งแร่ เขตโลหกรรม สถานที่เก็บแร่ หรือสถานที่ซื้อแร่
ออกไปนอกเขตหรือสถานที่ดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตขนแร่"

   มาตรา 22 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 148 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 148 ทวิ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 106 หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา
106 หรือมาตรา 109 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท"

   มาตรา 23 ให้ยกเลิกความในมาตรา 152 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 152 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 129 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับตั้งแต่ห้าเท่า
ถึงสิบเท่าของมูลค่าแร่ตามราคาที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ที่ใช้บังคับ
อยู่ในวันกระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ
   เมื่อปรากฏว่าแร่ที่ส่งออกโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นแร่จากประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตร
สถานที่ซื้อแร่ เขตแต่งแร่ หรือเขตโลหกรรมใด ซึ่งผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตรหรือ
ผู้รับใบอนุญาต แล้วแต่กรณี นั้นเป็นผู้กระทำความผิดผู้สนับสนุนหรือผู้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด
รัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตรหรือใบอนุญาตนั้นเสียได้
   บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการศุลกากร และอำนาจพนักงานศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วย
การนั้น เฉพาะอย่างยิ่งที่ว่าด้วยการตรวจการยึดและการริบของ การจับกุมผู้กระทำความผิด
การแสดงเท็จและการฟ้องร้อง ให้นำมาใช้บังคับแก่การนำเข้าหรือส่งออกนอกราชอาณาจักรซึ่ง
แร่ที่อยู่ในความควบคุมตามมาตรา 129 ด้วย"

   มาตรา 24 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 152 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
   "มาตรา 152 ทวิ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา 130 ต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท"

   มาตรา 25 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 152 ตรี แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
   "มาตรา 152 ตรี ในกรณีที่ปรากฏว่าแร่ขาดหายไปจากบัญชีแสดงการขุดแร่ได้ของผู้ถือ
ประทานบัตรชั่วคราว หรือผู้ถือประทานบัตรหรือบัญชีแสดงแร่คงเหลือของผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่
ผู้รับใบอนุญาตตั้งสถานที่เก็บแร่ ผู้รับใบอนุญาตให้มีแร่ไว้ในครอบครอง ผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่
หรือผู้รับใบอนุญาตประกอบโลหกรรม โดยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการขาดหายของแร่นั้นมิใช่
เกิดจากความผิดของตน ผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตร หรือผู้รับใบอนุญาตซื้อแร่
ผู้รับใบอนุญาตตั้งสถานที่เก็บแร่ ผู้รับใบอนุญาตให้มีแร่ไว้ในครอบครอง ผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่หรือ
ผู้รับใบอนุญาตประกอบโลหกรรม แล้วแต่กรณี ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งเท่าถึงสามเท่าของ
มูลค่าแร่ที่ขาดหายไปตามราคาที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราค่าภาคหลวงแร่ที่ใช้บังคับอยู่
ในวันกระทำความผิด และรัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรชั่วคราว ประทานบัตร หรือ
ใบอนุญาตนั้นเสียได้"

   มาตรา 26 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 153 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510
   "มาตรา 153 ทวิ ในการกระทำความผิดตามมาตรา 148 หรือมาตรา 152 ตรี ให้อธิบดี
มีอำนาจทำการเปรียบเทียบให้ผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับได้ไม่น้อยกว่าขั้นต่ำของค่าปรับที่
กฎหมายกำหนด และเมื่อผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับแล้ว ให้คดีเป็นอันระงับ"

   มาตรา 27 ให้ยกเลิกความในมาตรา 154 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 154 บรรดาแร่ เครื่องมือ เครื่องใช้ สัตว์พาหนะ ยานพาหนะ หรือเครื่องจักรกลใด ๆ
ที่บุคคลได้มา ได้ใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตาม
มาตรา 133 มาตรา 133 ตรี มาตรา 135 มาตรา 138 มาตรา 142 มาตรา 143 มาตรา 145
มาตรา 147 มาตรา 148 มาตรา 148 ทวิ มาตรา 152หรือมาตรา 152 ทวิ ให้ริบเสียทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ เว้นแต่ทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจ
ในการกระทำความผิด"

   มาตรา 28 ให้ยกเลิกความในมาตรา 155 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 155 ในกรณีความผิดตามมาตรา 133 ตรี มาตรา 135 มาตรา 142 มาตรา 143
มาตรา 145 มาตรา 147 มาตรา 148 มาตรา 148 ทวิ มาตรา 152 มาตรา 152ทวิ หรือมาตรา
152 ตรี ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับ และเงินรางวัลแก่ผู้จับตามระเบียบที่รัฐมนตรี
กำหนด ในอัตราร้อยละห้าสิบจากจำนวนเงินสุทธิค่าขายของกลางที่ศาลสั่งริบ แต่ในกรณีที่มิได้ริบ
ของกลางหรือของกลางไม่อาจจำหน่ายได้ ให้หักจ่ายร้อยละห้าสิบจากเงินค่าปรับ ส่วนรายที่ไม่มี
ผู้นำจับให้หักจ่ายเป็นเงินรางวัลร้อยละสามสิบ
   ในกรณีที่คดีเป็นอันระงับโดยการเปรียบเทียบปรับ ให้อธิบดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ
เปรียบเทียบเป็นผู้สั่งจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลตามวรรคหนึ่ง
   ในกรณีที่ยึดของกลางที่ต้องสงสัยในการกระทำความผิดได้โดยไม่ปรากฏตัวเจ้าของ ให้
อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายประกาศหาตัวเจ้าของมีกำหนด สามสิบวัน หากไม่มีเจ้าของมา
แสดงตัวภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ของกลางนั้นตกเป็นของแผ่นดิน และให้อธิบดีสั่งจำหน่าย
ของกลางนั้นแล้วหักค่าขายจ่ายเป็นเงินสินบนและเงินรางวัลตามวรรคหนึ่ง
   การจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลตามวรรคหนึ่ง ให้แบ่งจ่ายแก่ฝ่ายผู้นำจับและฝ่ายผู้จับ
ฝ่ายละเท่า ๆ กัน ถ้าผู้นำจับหรือผู้จับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีหลายคน ให้จ่ายเงินสินบนหรือเงินรางวัล
แก่บุคคลในฝ่ายนั้นคนละเท่า ๆ กัน"

   มาตรา 29 ให้ยกเลิกบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516 และให้ใช้บัญชีอัตราค่าธรรมเนียม
ท้ายพระราชบัญญัตินี้แทน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากบทบัญญัติตาม
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2516
ยังไม่เหมาะสมและไม่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย
ว่าด้วยแร่ และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่จะเรียกเก็บยังต่ำ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์
ในปัจจุบัน สมควรแก้ไขกฎหมายว่าด้วยแร่ให้รัดกุมและเหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้
(ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 77 หน้า 1   12 พฤษภาคม 2522)

                          บัญชีอัตราค่าธรรมเนียม
เลข                รายการ                    อัตราค่าธรรมเนียม
ลำดับ
 1    ค่าคำขอ                     ฉบับละ              20  บาท
 2    ค่าอาชญาบัตรสำรวจแร่          ฉบับละ             100  บาท
 3    ค่าอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่     ฉบับละ             500  บาท
 4    ค่าอาชญาบัตรพิเศษหรือ
      ค่าต่ออายุอาชญาบัตรพิเศษ        ฉบับละ           1,000  บาท
 5    ค่าประทานบัตรชั่วคราว          ฉบับละ           1,000  บาท
 6    ค่าประทานบัตรหรือค่าต่อ
      อายุประทานบัตร               ฉบับละ           1,000  บาท
 7    ค่าใบอนุญาตหรือค่าต่ออายุ
      ใบอนุญาต                    ฉบับละ           1,000  บาท
 8    ค่าใช้เนื้อที่
        (ก) ตามอาชญาบัตรผูกขาด
            สำรวจแร่หรืออาชญาบัตร
            พิเศษทุก 1 ไร่ หรือเศษ
            ของ 1 ไร่               ปีละ               6  บาท
        (ข) ตามประทานบัตรหรือ
            ตามประทานบัตรชั่วคราว
            ทุก 1 ไร่ หรือเศษ
            ของ 1 ไร่               ปีละ              20  บาท
 9    ค่ารังวัด ตามความยาวของระยะ
      ที่รังวัดทุก 40 เมตร หรือเศษ
      ของ 40 เมตร                                   20  บาท
 10   ค่าเขียนหรือจำลองแผนที่ 50
      ตารางเซนติเมตรแรก หรือต่ำกว่า
      แต่ละแปลง                                      20  บาท
      ทุก 50 ตารางเซนติเมตรต่อไป
      หรือเศษของ 50 ตารางเซนติเมตร                     5  บาท
                                              แต่ไม่เกิน
                                              ฉบับละ200  บาท
 11   ค่าไต่ส่วน                   เรื่องละ             100  บาท
 12   ค่าหลักหมายเขตเหมืองแร่        หลักละ             100  บาท
 13   ค่าโอนประทานบัตร            แปลงละ             500  บาท
 14   ค่าธรรมเนียมในค่าตอบแทน
      การโอนสิทธิทำเหมืองตาม
      ประทานบัตร                  ร้อยละ               4  บาท
 15   ค่าตรวจสอบ ทดลอง หรือวิเคราะห์
      ทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างหนึ่ง ๆ
      แร่ หรือธาตุ หรือรายการละ                      1,000  บาท
 16   ค่าคัดสำเนาหรือถ่ายเอกสาร      หน้าละ              10  บาท
 17   ค่ารับรองสำเนาเอกสาร         ฉบับละ              50  บาท
 18   ค่าตรวจสอบเอกสารหลักฐาน     เรื่องละ             100  บาท
 19   ค่ากรอกแบบพิมพ์คำขอเมื่อ
      ผู้ประสงค์ยื่นคำขอต้องการ         ฉบับละ               5  บาท
 20   ค่าใบแทนอาชญาบัตร ประทาน
      บัตรชั่วคราว ประทานบัตร
      หรือใบอนุญาต                 ฉบับละ             200  บาท
 21   ค่าจดทะเบียนหนังสือมอบอำนาจ    ฉบับละ             100  บาท
 22   ค่าธรรมเนียมหยุดการทำเหมือง
      ทุก 1 ไร่ หรือเศษของ 1 ไร่       ปีละ              20  บาท
 23   ค่าธรรมเนียมการทดน้ำหรือชักน้ำ
      คำนวณตามปริมาณน้ำที่ใช้ทุก
      1 ลูกบาศก์เมตร หรือเศษของ
      1 ลูกบาศก์เมตร ต่อ 1 นาที        ปีละ             100  บาท