พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2522 เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 15 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2520 และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 15 ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีและมีอำนาจทำการไต่สวนหรือมีคำสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษานายเดียวมีอำนาจดังที่ระบุไว้ในมาตรา 21 และมาตรา 22 (1) ถึง (4) ในกรณีที่พิจารณาคดีอาญาตามมาตรา 22 (4) ถ้าศาลแขวงเห็นว่าควรลงโทษจำคุกจำเลยเกิน หกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใด หรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้ว ก็ให้มีอำนาจพิพากษาได้ แต่จะต้องให้ผู้พิพากษาอีกอย่างหนึ่ง นายหนึ่งตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อในคำพิพากษาเป็นองค์คณะด้วย"
มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 22 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2499 และให้ใช้ ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 22 ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษานายเดียวมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้ (1) ทำการไต่สวนแลวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีแพ่ง (2) ทำการไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา (3) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพากษาหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท (4) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ทั้งนี้จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกิน อัตราที่กล่าวแล้ว ไม่ได้ (5) พิจารณาคดีแพ่งซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาท หรือจำนวนเงินที่ฟ้องเกินหนึ่งหมื่นบาท แต่ไม่เกิน ห้าหมื่นบาท หรือคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกเกินสามปี แต่ไม่เกิน เจ็ดปี หรือปรับเกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ในคดีที่ผู้พิพากษานายเดียวมีแต่เพียงอำนาจพิจารณา ไม่มีอำนาจพิพากษาตาม (4) หรือ (5) เมื่อจะพิพากษาคดี จะต้องมีผู้พิพากษาอีกอย่างน้อยนายหนึ่งตรวจสำนวนและลงลายมือชื่อในคำพิพากษา เป็นองค์คณะด้วย"
มาตรา 5 คดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงเป็นไปตามกฎหมายซึ่ง ใช้บังคับอยู่ก่อนนั้นจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ในปัจจุบันแขวงมีผู้พิพากษา หลายนาย แต่บทบัญญัติมาตรา 15 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมบัญญัติให้คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจ ศาลแขวง ซึ่งศาลแขวงเห็นว่าโทษของจำเลยควรจำคุกเกินหกเดือนหรือปรับเกินสองพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับนั้นอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราดังกล่าว ศาลแขวงต้องทำความเห็นส่งสำนวนไปให้ศาลอาญาหรือศาลจังหวัดพิพากษา ทำให้คดีล่าช้า สมควร ให้ผู้พิพากษาศาลแขวงสองนายมีอำนาจพิพากษาคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงนั้นได้เลย นอกจากนี้ จำนวนทุนทรัพย์คดีแพ่งและค่าปรับคดีอาญาที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนายเดียว และศาลแขวงมีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีตามบทบัญญัติมาตรา 22 ยังไม่เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจและสภาพการณ์ ของประเทศในปัจจุบัน สมควรเพิ่มจำนวนทุนทรัพย์คดีแพ่งและค่าปรับคดีอาญาให้สูงขึ้น และสมควร ตัดอำนาจทำการไต่สวนและมีคำสั่งในการชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ออก เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตามประกาศ ของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 333 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น (ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 64 หน้า 17 วันที่ 28 เมษายน 2522) |