พระราชบัญญัติ
                          สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
                               พ.ศ.2522
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2522
                        เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยวิทยาลัยเอกชน
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2522"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ. 2512
   บรรดาบทกฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้ง
กับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ให้วิทยาลัยเอกชนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ. 2512 เป็น
สถาบันอุดมศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้และคงมีสภาพเป็นนิติบุคคล

   มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้
   "สถาบันอุดมศึกษาเอกชน" หมายความว่า มหาวิทยาลัย สถาบันวิทยาลัยหรือสถานที่ที่บุคคลจัด
ให้การศึกษาขั้นอุดมศึกษาแก่นักศึกษาทุกผลัดรวมกันเกินเจ็ดคนขึ้นไป
   "ผู้รับใบอนุญาต" หมายความว่า ผู้ซึ่งได้นำทุนมาจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและได้รับใบ
อนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "คณะกรรมการสถาบัน" หมายความว่า คณะกรรมการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "กรรมการสถาบัน" หมายความว่า กรรมการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "สภาสถาบัน" หมายความว่า สภาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "กรรมการสภาสถาบัน" หมายความว่า กรรมการสภาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "ผู้บริหารสถาบัน" หมายความว่า อธิการบดี อธิการ หรือผู้อำนวยการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "นักศึกษา" หมายความว่า ผู้มีความรู้สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตร
ของกระทรวงศึกษาธิการ หรือมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่า ซึ่งเข้ารับการศึกษาใน
สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
   "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 6 พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่
   (1)มหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยหรือสถาบัน
อุดมศึกษานั้น
   (2) วิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่จัดตั้งขึ้นโดยกระทรวง ทบวง กรม
   (3) วิทยาลัยที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะสงฆ์ เพื่อการศึกษาของสงฆ์โดยเฉพาะ
   (4)สถาบันอุดมศึกษาที่จัดตั้งขึ้นตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวง
การชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ หรือรัฐบาลต่างประเทศ

   มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจ
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ กับออกกฎหมายกำหนดกิจกรรมเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
   กฎทบวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 8 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ในการให้การศึกษา
ส่งเสริมวิทยาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอน ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมและ
ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ

   มาตรา 9 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีสามประเภท คือ
   (1) มหาวิทยาลัย
   (2) สถาบัน
   (3) วิทยาลัย
   ลักษณะของมหาวิทยาลัย สถาบัน และวิทยาลัย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่
กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 10 ห้ามมิให้ผู้ใดจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้ง
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน
   การขอใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และการออกใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา
เอกชน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 11 ผู้รับใบอนุญาตจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษา
เอกชน โดยต้องมีเนื้อที่ไม่น้อยกว่าจำนวนที่กำหนดในกฎทบวง
   ผู้รับใบอนุญาตต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามวรรคหนึ่ง โดยปลอดจากภาระติดพันใด ๆ ให้
แก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันได้รับใบอนุญาต เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็น และ
รัฐมนตรีอนุญาตให้ขยายเวลาออกไปตามควรแก่กรณี
   ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติตามวรรคสอง ให้รัฐมนตรีมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้ง
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนได้

   มาตรา 12 ให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ได้จัดตั้งตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล
   การออกและการเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 13 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องมีข้อกำหนด และข้อกำหนดนั้นอย่างน้อยต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
   (1) ชื่อ
   (2) วัตถุประสงค์
   (3) ที่ตั้งและแผนผังแสดงบริเวณและอาคาร
   (4) จำนวนเงินทุนประเดิม ทรัพย์สินที่จะใช้ในการจัดตั้ง และโครงการใช้จ่าย
   (5) อัตราค่าเรียน ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียม
   (6) โครงการจัดการศึกษา รวมทั้งหลักสูตร การสอน อุปกรณ์การศึกษาและการวัดผลการศึกษา
   (7) วิธีการรับนักศึกษาและให้นักศึกษาออก
   (8)การกำหนดเครื่องแบบ การแต่งเครื่องแบบของนักศึกษาและการกำหนดเครื่องหมาย
ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (9) โครงการจัดหาคณาจารย์และเจ้าหน้าที่
  (10) การกำหนดตำแหน่งและคุณสมบัติทางวิชาการของคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ อัตราค่าสอน
เงินเดือน หลักเกณฑ์การจ้าง เลิกจ้าง และสวัสดิการของคณาจารย์และเจ้าหน้าที่
  (11) รายการอื่นตามที่กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 14 ข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามมาตรา 13 และการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนด
ดังกล่าวภายหลังที่ได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 10 แล้วต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำ
ของคณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา 15 ผู้รับใบอนุญาตจะเปิดดำเนินการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในสาขาวิชาใดได้ เมื่อ
ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน
   การขออนุญาตและการอนุญาตเปิดดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 16 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจแบ่งส่วนงานดังต่อไปนี้
   (1) สำนักงานบริหาร
   (2) คณะ
   (3) บัณฑิตวิทยาลัย
   (4) สถาบันเพื่อการวิจัย สำนัก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อส่งเสริมวิชาการ
   สำนักงานบริหาร อาจแบ่งส่วนงานภายในได้ตามความเหมาะสม
   คณะ อาจแบ่งส่วนงานเป็นภาควิชาและสำนักงานเลขานุการ
   บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน สำนัก หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น อาจแบ่งส่วนงานเป็นฝ่ายและ
สำนักงานเลขานุการ

   มาตรา 17 ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา 8 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจจัดตั้งวิทยาเขต
สาขาได้ และให้นำมาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 13 มาตรา 14 และมาตรา 15 มาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
   วิทยาเขตสาขาต้องดำเนินการภายใต้ความรับผิดชอบของสภาสถาบันตามมาตรา 28 โดยจะมี
ผู้บริหารวิทยาเขตสาขาซึ่งสภาสถาบันแต่งตั้งเพื่อบริหารงานของวิทยาเขตสาขาก็ได้

   มาตรา 18 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องใช้ชื่อเป็นอักษรไทยและต้องใช้คำว่า "มหาวิทยาลัย"
"สถาบัน" หรือ "วิทยาลัย" แล้วแต่กรณี นำหน้าชื่อ
   ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะใช้ชื่อเป็นอักษรต่างประเทศด้วย ต้องได้รับอนุญาตจาก
รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา 19 ห้ามมิให้บุคคลใดซึ่งมิใช่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามพระราชบัญญัตินี้ใช้คำว่า
"มหาวิทยาลัย" "สถาบัน" หรือ "วิทยาลัย" นำหน้าชื่อ ในดวงตราป้ายชื่อ ข้อบังคับ ระเบียบ
จดหมาย หรือเอกสารอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการ

   มาตรา 20 ให้มีคณะกรรมการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนคณะหนึ่งประกอบด้วย ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย
เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนและบุคคลซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่น้อยกว่าเจ็ดคน
แต่ไม่เกินสิบสองคน เป็นกรรมการ
   บุคคลซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งไม่น้อยกว่าสามคนต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคธุรกิจ
เอกชน
   ให้คณะกรรมการสถาบันเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นรองประธานกรรมการ
   ให้ปลัดทบวงมหาวิทยาลัยกำหนดเจ้าหน้าที่ของสำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัยเป็นกรรมการ
และเลขานุการหนึ่งคน และกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการหนึ่งคน

   มาตรา 21 กรรมการสถาบันซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
   ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการสถาบันในระหว่างที่กรรมการสถาบันซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระ
อยู่ในตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเพิ่มขึ้นหรือแต่งตั้งซ่อม ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่ง
เท่ากับวาระที่เหลือของกรรมการสถาบันซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วนั้น
   กรรมการสถาบันซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้

   มาตรา 22 นอกจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 21 กรรมการสถาบันซึ่งคณะรัฐมนตรี
แต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
   (1) ตาย
   (2) ลาออก
   (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก
   เมื่อกรรมการสถาบัน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ คณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้อื่น
เป็นกรรมการสถาบันแทนได้

   มาตรา 23 ประธานกรรมการเป็นผู้เรียกประชุมกรรมการสถาบัน
   การประชุมคณะกรรมการสถาบันต้องมีกรรมการสถาบันมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน
กรรมการสถาบันทั้งหมด จึงเป็นองค์ประชุม
   ให้ประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม ให้
รองประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุมให้กรรมการสถาบันซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการสถาบันคนหนึ่ง
เป็นประธานในที่ประชุม
   การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
   กรรมการสถาบันคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานใน
ที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

   มาตรา 24 ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้รองประธานกรรมการรักษาการแทน
ถ้าประธานกรรมการและรองประธานกรรมการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการและเลขานุการ
เป็นผู้เรียกประชุมกรรมการเพื่อให้ที่ประชุมเลือกกรรมการสถาบันคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทน

   มาตรา 25 คณะกรรมการสถาบันมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
   (1) พิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้ได้รับความผิดชอบ
จากคณะกรรมการสถาบัน
   (2) ให้ความเห็นหรือคำแนะนำแก่รัฐมนตรีในการออกกำทบวงตามพระราชบัญญัตินี้ และเรื่องอื่น ๆ
ที่เกี่ยวกับสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (3) พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการรับรองมาตรฐานการศึกษาและวิทยฐานะของสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษาที่ทบวงมหาวิทยาลัยกำหนด
   (4) พิจารณาหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ทบวงมหาวิทยาลัยกำหนด
   (5) พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้บริหารสถาบันและคณาจารย์ของสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชน
   (6) พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการเสนอให้ปริญญากิตติมศักดิ์ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (7) ปฏิบัติหน้าที่ที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา26 ให้สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัยทำหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของ
คณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา 27 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ คณะกรรมการสถาบันจะแต่งตั้งคณะกรรมการ
ประจำเฉพาะกิจหรือคณะอนุกรรมการเพื่อให้กระทำการใด ๆ ตามที่มอบหมาย หรือเรียกบุคคลใด
ซึ่งเกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือความเห็นก็ได้
   ให้นำมาตรา 23 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะกรรมการประจำเฉพาะกิจและคณะ
อนุกรรมการโดยอนุโลม
   เมื่อคณะกรรมการประจำเฉพาะกิจหรือคณะอนุกรรมการได้กระทำการไปแล้วตามวรรคหนึ่ง
ต้องรายงานให้คณะกรรมการสถาบันทราบด้วย

   มาตรา 28 ให้มีสภาสถาบันประกอบด้วย
   (1) ผู้บริหารสถาบันเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง
   (2) กรรมการไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินสิบเอ็ดคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิโดย
คำแนะนำของผู้รับใบอนุญาต
   (3) กรรมการไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนตาม (1) และ (2) รวมกันซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจาก
ผู้ทรงคุณวุฒิโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน
   ให้สภาสถาบันเลือกกรรมการสภาสถาบันคนหนึ่งซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่งตาม (1) เป็นนายก
สภาสถาบัน และกรรมการสภาสถาบันอีกคนหนึ่งเป็นอุปนายกสภาสถาบัน เพื่อทำหน้าที่นายกสภาสถาบัน
เมื่อนายกสภาสถาบันไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาสถาบัน
   ให้สภาสถาบันแต่งตั้งคณาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนคนหนึ่งเป็นเลขานุการ
โดยคำแนะนำของผู้บริหารสถาบัน

   มาตรา 29 กรรมการสภาสถาบันตามมาตรา 28 (2) หรือ (3) ต้องไม่เป็นผู้มีความประพฤติ
เสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
   ผู้รับใบอนุญาตซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาอาจได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสภาสถาบันตามมาตรา
28 (2) หรือ (3) ได้ แต่ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสอง

   มาตรา 30 กรรมการสภาสถาบันตามมาตรา 28 (2) หรือ (3) อยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
และให้นำมาตรา 21 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 31 นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 30 กรรมการสภาสถาบันตาม
มาตรา 28 (2) หรือ (3) พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
   (1) ตาย
   (2) ลาออก
   (3) รัฐมนตรีสั่งให้ออกเมื่อเห็นว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 29
   (4) รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามมาตรา 75 วรรคสอง
   เมื่อกรรมการสภาสถาบันพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของผู้รับใบอนุญาต
หรือคณะกรรมการสถาบัน แล้วแต่กรณีอาจแต่งตั้งผู้อื่นเป็นกรรมการสภาสถาบันแทนก็ได้

   มาตรา 32 การประชุมสภาสถาบันให้นำมาตรา 23 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 33 สภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชน อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
   (1) วางระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการดำเนินงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน รวมทั้งจะให้มี
ข้อบังคับว่าด้วยเครื่องแบบ เครื่องหมายและเครื่องแต่งกายนักศึกษาด้วยก็ได้
   (2) จัดสรรทุนออกเป็นกองทุนประเภทต่าง ๆ และวางระเบียบการใช้จ่ายเงินของกองทุน
   (3) พิจารณาปรับปรุงหลักสูตรการสอนและอุปกรณ์การศึกษา
   (4) พิจารณาการจัดตั้ง ยุบ รวม และเลิกคณะ บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน สำนักหรือหน่วยงานที่
เรียกชื่ออย่างอื่น และภาควิชา
   (5) พิจารณาการจัดตั้ง ยุบ รวม และเลิกวิทยาเขตสาขา
   (6) แต่งตั้งและถอดถอนผู้บริหารสถาบันด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถาบัน
   (7) อนุมัติการให้ประกาศนียบัตร อนุปริญญา ปริญญาหรือประกาศนียบัตรบัณฑิต
   (8) อนุมัติงบดุล งบการเปลี่ยนแปลงการเงินของกองทุนประเภทต่าง ๆ ประจำปี
   (9) พิจารณาเสนอการให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อขอรับความเห็นชอบ
จากคณะกรรมการสถาบัน
  (10)พิจารณาหาวิธีที่จะทำให้การศึกษา การวิจัย และการฝึกอบรมของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนเจริญยิ่งขึ้น
  (11) วินิจฉัยสั่งการในเรื่องอื่นใดที่มิได้ระบุให้เป็นหน้าที่ของผู้ใดโดยเฉพาะ

   มาตรา 34 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ สภาสถาบันจะแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะ
อนุกรรมการเพื่อให้กระทำการใด ๆ ตามที่มอบหมายก็ได้ และให้นำมาตรา 23 และมาตรา 27
วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 35 ให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีผู้บริหารสถาบันคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาและ
รับผิดชอบการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย ระเบียบ
ข้อบังคับ ข้อกำหนด ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและมติที่สภาสถาบันกำหนดหรือมอบหมายและจะ
มีรองผู้บริหารสถาบันคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ผู้บริหารสถาบัน
มอบหมาย
   รองผู้บริหารสถาบันต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับผู้บริหารงานสถาบันและให้ผู้บริหารงานสถาบัน
เป็นผู้เสนอแต่งตั้งและถอดถอนรองผู้บริหารสถาบันต่อสภาสถาบัน
   เมื่อผู้บริหารสถาบันพ้นจากตำแหน่งให้รองผู้บริหารสถาบันพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 36 ในกรณีที่ผู้บริหารสถาบันไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้รองผู้บริหารสถาบันรักษาการแทน
ถ้ามีรองผู้บริหารสถาบันหลายคนให้รองผู้บริหารสถาบันซึ่งผู้บริหารสถาบันมอบหมายรักษาการแทน ถ้าผู้
บริหารสถาบันไม่ได้มอบหมาย ให้รองผู้บริหารสถาบันซึ่งมีอาวุโสรักษาการแทน
   ในกรณีที่ไม่มีรองผู้บริหารสถาบัน ให้สภาสถาบันแต่งตั้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้อง
ห้ามตามมาตรา 38 เป็นผู้รักษาการแทน
   ให้ผู้รักษาการแทนผู้บริหารสถาบันมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้บริหารสถาบัน
ทุกประการ

   มาตรา 37 ห้ามมิให้ผู้ใดเป็นผู้บริหารสถาบัน เว้นแต่ได้รับแต่งตั้งจากสภาสถาบันและได้รับใบ
อนุญาตจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน
   การขอใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดใน
กฎทบวง

   มาตรา 38 ผู้บริหารสถาบันต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
   (1) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี
   (2) มีความรู้สอบไล่ได้ปริญญาตรี และเป็นหรือเคยเป็นศาสตราจารย์มาแล้ว หรือมีความรู้สอบไล่
ได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาโทหรือเทียบเท่า
   (3) ไม่เป็นผู้มีหรือเคยมีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
   (4) ไม่เป็นผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
   (5) ไม่เป็นผู้เคยถูกออกจากงานหรือราชการเพราะมีความผิด เว้นแต่รัฐมนตรีเห็นว่าความผิด
นั้นไม่ขัดต่อการเป็นผู้บริหารสถาบัน
   (6) ไม่เป็นผู้เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก
เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่คณะกรรมการสถาบันเห็นว่าไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือความผิดที่กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ

   มาตรา 39 ผู้บริหารสถาบันมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้
   (1) ควบคุมดูแลกิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้เป็นไปตามกฎหมาย นโยบาย ระเบียบ
ข้อบังคับและข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (2) พิจารณาแต่งตั้งคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (3) จัดทำทะเบียนคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษา ตามแบบที่กำหนดในกฎทบวง
   (4) ควบคุมการเงิน การพัสดุ สถานที่และทรัพย์สินอื่นของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้เป็นไป
ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับและข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (5) เป็นผู้แทนของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในกิจการทั่วไป
   (6) จัดทำรายงานประจำปีและรายงานอื่น ๆ ตามที่สภาสถาบันหรือรัฐมนตรีกำหนด
   (7) รักษาวินัย และระมัดระวังมิให้มีการดำเนินการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัย
ของประเทศ หรือความสงบเรียบร้อยวัฒนธรรมของชาติ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในบริเวณ
สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบ ข้อบังคับ และข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หน้าที่ที่
สภาสถาบันมอบหมายและที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
   (9) ดำเนินกิจการอื่นอันเป็นปกติธุระที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนพึงกระทำ

   มาตรา 40 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำคณะและการจัดระบบบริหารงานใน
คณะบัณฑิตวิทยาลัยสถาบัน สำนักหรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ให้เป็นไปตามระเบียบ
หรือข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

   มาตรา 41 คณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีตำแหน่งทางวิชาการ ดังต่อไปนี้
   (1) ศาสตราจารย์ ซึ่งอาจเป็นศาสตราจารย์ประจำหรือศาสตราจารย์พิเศษ
   (2) รองศาสตราจารย์
   (3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์
   (4) อาจารย์ ซึ่งอาจเป็นอาจารย์ประจำหรืออาจารย์พิเศษ

   มาตรา 42 อาจารย์ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
   (1) มีความรู้สอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า หรือมีความรู้ความชำนาญพิเศษใน
วิชาใดวิชาหนึ่ง
   (2) ไม่เป็นโรคตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
   (3) ไม่เป็นผู้มีหรือเคยมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
   (4) ไม่เป็นผู้ฝักใฝ่หรือเลื่อมใสในลัทธิที่เป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศ
หรือขัดต่อระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญ
   (5) ไม่เป็นผู้วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
   (6) ไม่เป็นผู้เคยต้องโทษจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่คณะกรรมการสถาบันเห็นว่า
ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

   มาตรา 43 นอกจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 42 แล้ว คุณสมบัติหลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์และศาสตราจารย์ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
   ทั้งนี้ คุณสมบัติและหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับการแต่งตั้ง
บุคคลเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการดังกล่าวในมหาวิทยาลัยของรัฐ

   มาตรา 44 ก่อนแต่งตั้งบุคคลใดเป็นคณาจารย์ ให้ผู้บริหารสถาบันยื่นคำขอตามแบบที่รัฐมนตรี
กำหนด เมื่อได้รับใบอนุญาตตามรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบันแล้ว จึงจะแต่งตั้ง
ให้บุคคลนั้นเป็นคณาจารย์ได้
   ในระหว่างรอรับใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจมอบหมายให้บุคคลดังกล่าว
ในวรรคหนึ่งเป็นการชั่วคราวได้ไม่เกินหกเดือนนับแต่วันเริ่มจ้าง

   มาตรา 45 ในกรณีที่มีความจำเป็น สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจมีครูปฏิบัติการด้วยก็ได้
   ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นครูปฏิบัติการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 46 ในกรณีที่รัฐมนตรีเห็นสมควรอาจกำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจัดให้มีคณาจารย์
ประจำสาขาวิชาไม่น้อยกว่าจำนวนที่รัฐมนตรีกำหนดก็ได้
   บุคคลใดจะเป็นคณาจารย์ประจำเกินหนึ่งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
จากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา 47 ปริญญามีสามชั้น คือ
   เอก เรียกว่า  ดุษฎีบัณฑิต   ใช้อักษรย่อ  ด.
   โท  เรียกว่า  มหาบัณฑิต   ใช้อักษรย่อ  ม.
   ตรี  เรียกว่า  บัณฑิต      ใช้อักษรย่อ  บ.
   สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะทำการสอนเพื่อให้ปริญญาชั้นใด ในสาขาวิชาใดได้เมื่อรัฐมนตรีโดย
คำแนะนำของคณะกรรมการสถาบันได้รับรองวิทยฐานะสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นแล้ว
   การขอให้รับรองและการรับรองวิทยฐานะสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 48 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะให้ประกาศนียบัตร อนุปริญญา ปริญญา หรือ
ประกาศนียบัตรบัณฑิต ในสาขาวิชาที่มีการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนได้ เมื่อรัฐมนตรีโดยคำแนะนำ
ของคณะกรรมการสถาบันได้รับรองมาตรฐานการศึกษาในสาขาวิชาที่มีการสอนนั้น
   การขอให้รับรองและการรับรองมาตรฐานการศึกษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข
ที่กำหนดในกฎทบวง
   การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะให้ใช้อักษรย่อสำหรับสาขาวิชานั้นอย่างไร
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 49 สภาสถาบันโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถาบันอาจวางข้อบังคับให้ผู้สำเร็จ
การศึกษาชั้นปริญญาตรีได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองได้

   มาตรา 50 สภาสถาบันโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถาบันอาจวางข้อบังคับกำหนดให้
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีประกาศนียบัตร อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรบัณฑิตในวิชาใดได้ดังต่อไปนี้
   (1) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะวิชา
   (2) อนุปริญญาหรือประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชาใดที่
ยังไม่ถึงชั้นปริญญา หรือผู้ที่สอบไล่ได้ครบทุกลักษณะวิชาตามหลักสูตรปริญญาตรีแต่ได้คะแนนเฉลี่ย
สะสมต่ำกว่าเกณฑ์การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดในกฎทบวง
   (3) ประกาศนียบัตรบัณฑิต ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในวิชาใดภายหลังที่ได้ปริญญาแล้ว

   มาตรา 51 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถาบันมีอำนาจให้
ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเห็นว่าทรงคุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้น ๆ แต่จะให้
ปริญญาดังกล่าวแก่กรรมการสภาสถาบัน คณาจารย์ประจำ หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนนั้นไม่ได้
   ชั้น สาขาของปริญญา และวิธีการให้ปริญญากิตติมศักดิ์ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎทบวง

   มาตรา 52 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะจัดให้มีครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะเป็นเครื่องหมาย
แสดงวิทยฐานะของผู้ได้รับประกาศนียบัตร อนุปริญญา ปริญญาและประกาศนียบัตรบัณฑิต ตามที่ระบุ
ในข้อกำหนดได้
   การกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะ
ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎทบวง
   ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะจะใช้ในโอกาสใดโดยมีเงื่อนไขอย่างใดให้เป็นไปตามข้อบังคับ
ของสภาสถาบัน

   มาตรา 53 ทุนของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนประกอบด้วย เงินทุนประเดิมและทรัพย์สินที่ระบุไว้
ในข้อกำหนด และเงินทุนหรือทรัพย์สินที่ได้มาภายหลัง

   มาตรา 54 ให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจัดสรรทุนตามมาตรา 53 เป็นกองทุนประเภทต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้
   (1) กองทุนทั่วไป
   (2) กองทุนทรัพย์สินถาวร
   (3) กองทุนวิจัยและห้องสมุด
   (4) กองทุนสงเคราะห์
   (5) กองทุนอื่นตามที่รัฐมนตรีอนุญาต

   มาตรา 55 กองทุนทั่วไปได้แก่
   (1) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากเงินทุนประเดิมและทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนตามระบุไว้ในข้อกำหนด
   (2) รายได้ตามมาตรา 60 (1) และ (3)
   (3) เงินที่สภาสถาบันจัดสรรตามมาตรา 61 วรรคสอง
   (4) ดอกผลของกองทุนทั่วไป
   กองทุนทั่วไปให้ใช้ในการดำเนินกิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

   มาตรา 56 กองทุนทรัพย์สินถาวรได้แก่
   (1) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากเงินทุนประเดิมและทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนด
   (2) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากรายได้ตามวัตถุประสงค์ที่มีผู้ให้ตามมาตรา 60 (2)
   (3) เงินที่สภาสถาบันจัดสรรตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง
   (4) ดอกผลของกองทุนทรัพย์สินถาวร
   กองทุนทรัพย์สินถาวรให้ใช้ในการเพิ่มเติมหรือปรับปรุงที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชน

   มาตรา 57 กองทุนวิจัยและห้องสมุดได้แก่
   (1) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากเงินทุนประเดมิและทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนด
   (2) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากรายได้ตามวัตถุประสงค์ที่มีผู้ให้ตามมาตรา 60 (2)
   (3) เงินที่สภาสถาบันจัดสรรตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง
   (4) ดอกผลของกองทุนวิจัยและห้องสมุด
   กองทุนวิจัยและห้องสมุดให้ใช้ในการวิจัยและการจัดซื้อตำราสำหรับห้องสมุด

   มาตรา 58 กองทุนสงเคราะห์ได้แก่
   (1) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากเงินทุนประเดิมและทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนด
   (2) เงินหรือทรัพย์สินที่สภาสถาบันจัดสรรจากรายได้ตามวัตถุประสงค์ที่มีผู้ให้ตามมาตรา 60 (2)
   (3) เงินที่สภาสถาบันจัดสรรตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง
   (4) ดอกผลของกองทุนสงเคราะห์
   กองทุนสงเคราะห์ให้ใช้ในการให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาหรือคณาจารย์ประจำหรือการจัดให้มี
บำเหน็จบำนาญแก่คณาจารย์ประจำเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และการสงเคราะห์อื่น
แก่คณาจารย์ประจำ เจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและครอบครัว ทั้งนี้ตามข้อบังคับของสภา
สถาบัน

   มาตรา 59 เมื่อรัฐมนตรีเห็นสมควรอาจอนุญาตให้จัดตั้งกองทุนเพิ่มขึ้นเพื่อประโยชน์ในการดำ
เนินกิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยให้จัดสรรจากรายได้ที่สูงกว่ารายจ่ายประจำปีของกองทุน
ทั่วไปที่กันไว้ร้อยละหกสิบตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

   มาตรา 60 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจมีรายได้ดังต่อไปนี้
   (1) ค่าเรียน ค่าบำรุง และค่าธรรมเนียม
   (2) เงินและทรัพย์สินอื่นที่มีผู้ให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (3) รายได้ที่เกี่ยวกับการให้การศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และรายได้อื่นของสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชน

   มาตรา 61 เมื่อปรากฏว่ากองทุนทั่วไปมีรายได้สูงกว่ารายจ่ายประจำปีให้สภาสถาบันจัดสรร
เงินรายได้ส่วนที่สูงกว่ารายจ่ายให้แก่กองทุนประเภทอื่นนอกจากกองทุนทั่วไปรวมกันไม่น้อยกว่าร้อย
ละหกสิบของรายได้ที่สูงกว่ารายจ่ายประจำปี
   เงินที่เหลือจากการจัดสรรตามวรรคหนึ่ง สภาสถาบันอาจจัดสรรให้แก่ผู้รับใบอนุญาตได้ไม่เกิน
ร้อยละสิบห้าของส่วนของสินทรัพย์ในกองทุนประเภทต่าง ๆ รวมกันหลังจากหักหนี้สินแล้ว ถ้ายังมี
เงินเหลืออยู่อีกเท่าใดให้จัดส่งให้แก่กองทุนทั่วไป

   มาตรา 62 ให้ผู้บริหารสถาบันเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำบัญชีงบดุลและงบการเปลี่ยนแปลง
การเงินของกองทุนประเภทต่าง ๆ ประจำปีของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้ถูกต้องตามแบบ
ที่รัฐมนตรีกำหนด และในการลงรายการในบัญชีต้องแสดงรายการเกี่ยวกับการรับและจ่ายเงิน
และสินทรัพย์กับหนี้สินตามความเป็นจริง และแยกตามประเภทของงานพร้อมด้วยข้อความอันเป็นเหตุ
ที่มาของรายการนั้น

   มาตรา 63 ให้ผู้บริหารสถาบันเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดส่งบุคคลและงบการเปลี่ยนแปลงการเงิน
ของกองทุนประเภทต่าง ๆ ประจำปี ให้ผู้ตรวจสอบแล้ว ให้ผู้บริหารสถาบันนำเสนอต่อสภาสถาบัน
ภายในเดือนกรกฎาคมของทุกปี
   เมื่อสภาสถาบันได้อนุมัติงบดุลและงบการเปลี่ยนแปลงการเงินของกองทุนประเภทต่าง ๆ
ประจำปีแล้ว ให้ผู้บริหารสถาบันส่งสำเนาไปยังรัฐมนตรีภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่สภาสถาบันอนุมัติ

   มาตรา 64 ให้สภาสถาบันแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนทุกปี

   มาตรา 65 ให้ผู้สอบบัญชีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีอำนาจตรวจสอบบัญชีเอกสารและหลักฐานต่าง ๆ
ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนรวมทั้งขอข้อความและคำชี้แจงจากกรรมการสภาสถาบันผู้บริหารสถาบัน
หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

   มาตรา 66 ให้ผู้สอบบัญชีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนรายงานผลของการตรวจสอบต่อสภาสถาบันว่า
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นได้จัดทำบัญชีงบดุลและงบการเปลี่ยนแปลงการเงินของกองทุนประเภทต่าง ๆ
ประจำปีตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด และการรับจ่ายในกองทุนประเภทต่าง ๆ ได้เป็นไปถูกต้องตาม
พระราชบัญญัตินี้หรือไม่
   ผู้สอบบัญชีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องแถลงในรายงานเช่นนั้นด้วยว่าตนเห็นว่างบดุลได้ทำ
โดยถูกถ้วนควรฟังว่าสำแดงให้เห็นฐานะของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และงบการเปลี่ยนแปลงการ
เงินของกองทุนประเภทต่าง ๆ สำแดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกองทุนนั้น ๆ ที่เป็นอยู่
ตามจริงตามที่ควรหรือไม่

   มาตรา 67 พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเพื่อตรวจตราควบคุม
ให้การปฏิบัติของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นไปตามข้อกำหนดและตามพระราชบัญญัตินี้
   ในการปฏิบัติการตามวรรคหนึ่ง พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่
เมื่อผู้ซึ่งเกี่ยวข้องร้องขอ
   บัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎทบวง
   ในการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกหรือ
ช่วยเหลือตามสมควร หรือใช้คำชี้แจงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่ร้องขอ

   มาตรา 68 การกระทำดังต่อไปนี้ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีโดย
คำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน
   (1) การรับความช่วยเหลือทางการเงิน อุปกรณ์การศึกษา หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลใด
เป็นจำนวนเงินหรือมูลค่าเกินครั้งละห้าแสนบาท
   (2) การรับความช่วยเหลือทางวิชาการจากสถาบันการศึกษาหรือบุคคลใด
   (3) การเข้าสมทบสถาบันการศึกษาในประเทศหรือต่างประเทศ
   (4) การกู้เงินครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันเกินร้อยละยี่สิบห้าของมูลค่าของทรัพย์สินที่สถาบัน
อุดมศึกษาเอกชนมีอยู่ขณะนั้น ทั้งนี้ หนี้สินสะสมต้องไม่เกินมูลค่าแห่งทรัพย์สิน
   (5) การซื้อหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่มีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
   (6) การขอโอนเงินของกองทุนประเภทหนึ่งไปอีกประเภทหนึ่ง

   มาตรา 69 ห้ามมิให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลใด
ซึ่งการรับนั้นอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยของประเทศหรือขัดต่อวัฒนธรรมของชาติ
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

   มาตรา70 ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องหยุดสอนนอกจากการหยุดตามปกติ
ผู้บริหารสถาบันต้องแจ้งเป็นหนังสือให้รัฐมนตรีทราบภายในสามวันนับแต่วันหยุดสอน

   มาตรา 71 ในกรณีที่คณาจารย์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา 44 พ้นสภาพจากการเป็นคณาจารย์
ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ผู้บริหารสถาบันต้องแจ้งให้คณะกรรมการสถาบันทราบภายในหนึ่งเดือน
นับแต่วันพ้นสภาพ

   มาตรา 72 ในกรณีที่ปรากฏว่าอาคารสถานที่หรือบริเวณที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีสภาพ
ขัดต่อสุขลักษณะหรืออนามัย ไม่มั่นคงหรือมีเหตุอื่นอันอาจเป็นภยันตรายแก่นักศึกษา ให้รัฐมนตรีมีอำนาจ
สั่งเป็นหนังสือให้ผู้บริหารสถาบันดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้เสร็จภายในกำหนดเวลาอันสมควร
หรือเมื่อเห็นเป็นการจำเป็นจะสั่งให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนหยุดสอนในระหว่างเวลาที่ต้องดำเนิน
การแก้ไขปรับปรุงหรือจนกว่าจะเห็นว่าเหตุที่สั่งให้หยุดสอนนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้วก็ได้

   มาตรา 73 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาต กรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์หรือเจ้า
หน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใช้หรือยอมให้ผู้อื่นใช้ชื่อหรือเครื่องหมายของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
นอกเหนือไปจากที่ระบุไว้ในข้อกำหนด หรือใช้หรือยอมให้ผู้อื่นใช้สถานที่เพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย วัฒนธรรมของชาติ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือการอันไม่ควร
แก่กิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

   มาตรา 74 เมื่อปรากฏว่าสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดได้รับอนุญาตให้เปิดสอนในสาขาวิชาใดแล้ว
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการหรือเงื่อนไขที่กำหนดในกฎทบวง หรือการ
จัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดเสื่อมลงจากมาตรฐานการศึกษาที่รับรองไว้ รัฐมนตรีโดย
คำแนะนำของคณะกรรมการสถาบันมีอำนาจสั่งการตามควรแก่กรณีดังต่อไปนี้
   (1) เตือนเป็นหนังสือให้ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ตามที่แจ้งไปภายในเวลาที่กำหนดซึ่งต้องให้
เวลาพอสมควร
   (2) สั่งให้งดรับนักศึกษาในสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่งหรือทุกสาขาวิชาเมื่อไม่ปฏิบัติตาม (1)
   (3) เพิกถอนการรับรองมาตรฐานการศึกษา
   (4) เพิกถอนการรับรองวิทยฐานะ
   (5) เพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

   มาตรา 75 เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
   (1) สถาบันอุดมศึกษาเอกชนไม่มีทุนพอจะดำเนินการต่อไปหรือมีหนี้สินเกินทรัพย์สินหรือมีฐานะ
การเงินไม่มั่นคงอันอาจเกิดความเสียหายแก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (2) สถาบันอุดมศึกษาเอกชนฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ กฎทบวง เงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด
หรือประกาศที่ออกหรือกำหนดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือคำสั่งของพนักงาน
เจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ในเมื่ออาจทำให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันอุดมศึกษา
เอกชน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐมนตรีซึ่งสั่งการตามมาตรา 89 วรรคสอง
   (3) สถาบันอุดมศึกษาเอกชนหยุดสอนเกินสองเดือนติดต่อกัน เว้นแต่เป็นการหยุดสอนตามข้อกำหนด
   (4) สภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
หรือนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนดำเนินการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัย
ของประเทศ ความสงบเรียบร้อย วัฒนธรรมของชาติ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
   ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบันมีอำนาจสั่งให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอยู่ใน
ความควบคุมของทบวงมหาวิทยาลัย และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วยกรรมการไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินสิบเอ็ดคนทำหน้าที่แทนสภาสถาบัน และ
ให้ประกาศคำสั่งควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยมีกำหนดเวลาติดต่อกัน
ไม่น้อยกว่าสามวัน

   มาตรา 76 เมื่อรัฐมนตรีมีคำสั่งควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดแล้วห้ามมิให้กรรมการสภาสถาบัน
ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นปฏิบัติหน้าที่ในสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนนั้นต่อไป เว้นแต่คณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะได้มอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
และให้กรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนจัดการอันสมควรเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ดูแลรักษาทรัพย์สิน
ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนและส่งมอบทรัพย์สินพร้อมด้วยสมุดบัญชี เอกสารและสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับ
กิจการและทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้แก่คณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
โดยมิชักช้า

   มาตรา 77 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ข้าราชการในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยไปปฏิบัติงานในสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชนในระหว่างเวลาที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอยู่ในความควบคุมของทบวงมหาวิทยาลัย
ได้ตามความจำเป็น โดยให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติราชการตามปกติ

   มาตรา 78 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจอุทธรณ์คำสั่งควบคุมต่อรัฐมนตรีได้ภายในหนึ่งเดือนนับ
แต่วันได้รับแจ้งคำสั่ง และรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ผู้แทนทบวงมหาวิทยาลัย และผู้ทรงคุณวุฒิในปัญหาที่
เกี่ยวข้องเป็นผู้พิจารณาเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเพื่อชี้ขาด

   มาตรา 79 เมื่อคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเห็นว่าสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่
ถูกควบคุมสมควรจะดำเนินกิจการของตนเองได้ต่อไป หรือเมื่อผู้รับใบอนุญาตร้องขอจะดำเนิน
กิจการของตนต่อไปต่อคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้คณะกรรมการควบคุมสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชน ให้คณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนรายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้า
รัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีคำสั่งเลิกการควบคุม และประกาศคำสั่งเพิกถอนการควบคุมในหนังสือพิมพ์
รายวันภาษาไทยมีกำหนดเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสามวัน และให้คณะกรรมการควบคุมสถาบัน
อุดมศึกษาเอกชนให้แก่สภาสถาบันโดยมิชักช้า

   มาตรา 80 เมื่อคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเห็นว่าสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ที่ถูกควบคุมไม่อาจดำเนินกิจการต่อไปได้หรือไม่ควรให้ดำเนินกิจการต่อไป และมีเหตุสมควรเพิกถอน
ใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบ ถ้ารัฐมนตรีเห็นสมควรให้
มีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นได้โดยคำแนะนำของคณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา 81 ในกรณีที่จะมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามมาตรา
74 (5) หรือมาตรา 80 ให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับผลการศึกษาของ
นักศึกษาทั้งหมดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นให้แก่ทบวงมหาวิทยาลัย
   ให้ทบวงมหาวิทยาลัยเป็นผู้ออกหนังสือรับรองผลการศึกษาของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ดังกล่าวตามหลักฐานที่ได้รับมอบตามวรรคหนึ่ง

   มาตรา 82 เมื่อรัฐมนตรีมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามมาตรา
74 (5) หรือมาตรา 80 ให้คณะกรรมการสถาบันหรือคณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษา
เอกชน แล้วแต่กรณี แต่งตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อชำระบัญชีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นและให้นำประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการชำระบัญชีห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดและบริษัทจำกัด
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
   เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว ถ้ามีทรัพย์สินเหลืออยู่เท่าใด ให้คืนแก่ผู้รับใบอนุญาต

   มาตรา 83 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานระหว่างการควบคุมหรือชำระบัญชีในสถาบันอุดมศึกษา
เอกชน ให้จ่ายจากทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น
   คณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนอาจได้รับเงินค่าตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่
รัฐมนตรีกำหนด โดยจ่ายจากทรัพย์สินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้น

   มาตรา 84 ให้กรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

   มาตรา 85 เมื่อปรากฏว่า ผู้บริหารสถาบันหรือคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (1) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 38 มาตรา 42 หรือมาตรา 43 แล้วแต่กรณี
   (2) ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 39 (3) หรือ (6) มาตรา 44 มาตรา 62 มาตรา 63
มาตรา 73 หรือมาตรา 76 หรือข้อบังคับหรือข้อกำหนดของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
   (3)ดำเนินกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในลักษณะที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัย
ของประเทศ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย วัฒนธรรมแห่งชาติ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
   รัฐมนตรีอาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้บริหารสถาบัน ใบอนุญาตเป็นคณาจารย์สถาบันอุดมศึกษา
เอกชนหรือการอนุญาตให้เป็นคณาจารย์ประจำเกินหนึ่งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนได้โดยคำแนะนำ
ของคณะกรรมการสถาบัน

   มาตรา 86 ผู้ใดถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือเพิกถอนการอนุญาตตามมาตรา 85 แล้ว จะขอรับใบ
อนุญาตหรือการอนุญาตใหม่อีกได้เมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือเพิกถอนการอนุญาต

   มาตรา 87 ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะเลิกดำเนินกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้แจ้ง
เป็นหนังสือพร้อมทั้งรายละเอียดในการขอเลิกต่อรัฐมนตรีก่อนสิ้นปีการศึกษาไม่น้อยกว่าสามเดือน

   มาตรา 88 ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตประสงค์จะโอนกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้แจ้งเป็น
หนังสือพร้อมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับการโอนและผู้รับโอนต่อรัฐมนตรี
   ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตาย ให้ผู้บริหารสถาบันด้วยความเห็นชอบของสภาสถาบันแจ้งชื่อผู้รับ
โอนต่อรัฐมนตรีพร้อมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้รับโอนนั้น

   มาตรา 89 ในกรณีตามมาตรา 87 หรือมาตรา 88 ให้คณะกรรมการสถาบันมีอำนาจเรียกผู้รับ
ใบอนุญาต ผู้รับโอน และผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมาชี้แจงข้อเท็จจริงและ
แสดงความเห็นได้
   เมื่อรัฐมนตรีได้รับความเห็นของคณะกรรมการสถาบันแล้ว ให้รัฐมนตรีพิจารณาสั่งการตามที่เห็น
สมควร ในกรณีที่สั่งให้เลิกกิจการสถาบันอุดมศึกษาเอกชนให้นำมาตรา 81 มาตรา 82 และ
มาตรา 83 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 90 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

   มาตรา 91 ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
หนึ่งหมื่นบาท

   มาตรา 92 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 18 หรือฝ่าฝืนมาตรา 19 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
ห้าพันบาท

   มาตรา 93 ผู้ใดกระทำตนเป็นกรรมการสภาสถาบันโดยไม่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีตาม
มาตรา 28 (2) หรือ (3) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

   มาตรา 94 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 37 วรรคหนึ่ง หรือรับตำแหน่งผู้บริหารสถาบันโดยที่รู้อยู่ว่าตน
ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 38 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

   มาตรา 95 ผู้บริหารสถาบันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 39 (3) หรือ (6) มาตรา 44
มาตรา 70 มาตรา 71 หรือมาตรา 72 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท

   มาตรา 96 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสี่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือ
ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 97 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 68 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน
ห้าหมื่นบาท

   มาตรา 98 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดฝ่าฝืนมาตรา 69 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

   มาตรา 99 ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดกระทำความผิดตามมาตรา 68 หรือมาตรา 69
ให้ถือว่ากรรมการสภาสถาบันและผู้บริหารสถาบันทุกคนต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย
เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น หรือได้จัดการตามสมควรเพื่อ
ป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้นแล้ว

   มาตรา 100 ผู้รับใบอนุญาต กรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่
ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 73 หรือมาตรา 76 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 101 ผู้ใดใช้วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ เครื่องแบบ เครื่องหมาย หรือเครื่องแต่งกาย
นักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ หรือแสดงด้วยประการใด ๆ ว่าตนมี
ประกาศนียบัตร อนุปริญญา ปริญญาหรือประกาศนียบัตรบัณฑิตของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยที่ตนไม่มี
ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้หรือมีวิทยฐานะเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่
เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 102 ให้ผู้ซึ่งใช้คำว่า "สถาบัน" ไว้หน้าชื่อในการดำเนินกิจการโรงเรียนหรือนำหน้า
ชื่อในดวงตรา ป้ายชื่อ ข้อบังคับ ระเบียบ จดหมาย หรือเอกสารอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดำเนิน
กิจการโรงเรียนอยู่แล้วในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เลิกใช้คำดังกล่าวภายในสามเดือนนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นมิได้นำมาตรา 18 และมาตรา 19
มาใช้บังคับ

   มาตรา 103 ใบอนุญาตให้จัดตั้งวิทยาลัยเอกชนตามพระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ. 2512
ซึ่งออกให้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้มีผลบังคับต่อไปและให้ถือว่าเป็นใบอนุญาตให้จัดตั้ง
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย

   มาตรา 104 ให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศ คำสั่ง ระเบียบและข้อกำหนดที่ออกตาม
พระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ. 2512 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้จนกว่า
จะมีกฎทบวง ประกาศ คำสั่ง ระเบียบ และข้อกำหนดที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 105 ให้คณะกรรมการวิทยาลัยเอกชน คณะกรรมการควบคุมวิทยาลัยเอกชน
คณะกรรมการบริหารวิทยาลัยเอกชน และคณะกรรมการอื่นซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติ
วิทยาลัยเอกชน พ.ศ. 2512 เป็นคณะกรรมการสถาบัน คณะกรรมการควบคุมสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
สภาสถาบัน และคณะกรรมการอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีการแต่งตั้งใหม่ซึ่งต้องไม่เกิน
หกเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 106 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้อำนวยการ ผู้สอนและเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับแต่งตั้งตาม
พระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ. 2512 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้บริหารสถาบัน คณาจารย์ และ
เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ โดยที่การดำเนินงานของวิทยาลัย
เอกชนในฐานะที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาระดับปริญญาได้เพิ่มขยายขึ้นเป็นอันมาก ทั้งในด้านจำนวน
วิทยาลัยและภารกิจในการผลิตบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ การค้นคว้าวิจัยและการบริการทางวิชาการ
แก่สังคม สมควรปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารตลอดจนวิธีการธำรงรักษามาตรฐานการ
ศึกษาให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีความเจริญมั่นคงและเอื้ออำนวย
ต่อการขยายกิจการ เพื่อร่วมรับภาระในการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยอย่างมี
ประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ.เล่ม 96 ตอนที่ 63 หน้า 1 วันที่ 27 เมษายน 2522)