พระราชบัญญัติ
                          จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
                               พ.ศ.2522
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ.2522
                        เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2522"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิก
   (1) พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2486
   (2) พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2486
   (3) พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2491
   (4) พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2497
   (5) พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2499
   (6) พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2502
   (7) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 176 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2515
   บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือที่มีข้อความขัด
หรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พุทธศักราช 2486 เป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นนิติบุคคล

   มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้
   "มหาวิทยาลัย" หมายความว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
   "สภามหาวิทยาลัย" หมายความว่า สภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

   มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 7 ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาและส่งเสริม
วิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอน ทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมและทะนุบำรุง
ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ

   มาตรา 8 มหาวิทยาลัยอาจแบ่งส่วนราชการดังนี้
   (1) สำนักงานอธิการบดี
   (2) บัณฑิตวิทยาลัย
   (3) คณะ
   (4) วิทยาลัย
   (5) แผนกอิสระ
   มหาวิทยาลัยอาจให้มีสถาบันเพื่อทำการวิจัย ศูนย์เพื่อส่งเสริมวิชาการ และหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นเพื่อให้บริการทางวิชาการ เป็นส่วนราชการในมหาวิทยาลัยอีกก็ได้
   สำนักงานอธิการบดีอาจแบ่งส่วนราชการเป็นกอง และแผนกหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
   คณะและวิทยาลัย อาจแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา กองสำนักงานเลขานุการหรือส่วนราชการ
ที่เรียกชื่ออย่างอื่น
   บัณฑิตมหาวิทยาลัย สถาบัน ศูนย์และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น อาจแบ่งส่วนราชการเป็น
กองสำนักงานเลขานุการ หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
   แผนกอิสระอาจแบ่งส่วนราชการเป็นสำนักงานเลขานุการหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
   กอง และสำนักงานเลขานุการ อาจแบ่งส่วนราชการเป็นแผนกหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น

   มาตรา 9 การจัดตั้ง การรวม และการยุบเลิกบัณฑิตมหาวิทยาลัย คณะ วิทยาลัย แผนกอิสระ
สถาบัน ศูนย์และหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   การแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา กอง สำนักงานเลขานุการ และแผนก หรือส่วนราชการที่
เรียกชื่ออย่างอื่น ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 10 ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 มหาวิทยาลัยจะรับสถานศึกษาชั้นสูงหรือสถานวิจัย
อื่นเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยก็ได้และมีอำนาจให้ปริญญษ อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรชั้นใดชั้นหนึ่ง
แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถานศึกษาชั้นสูงนั้นได้
   การรับเข้าสมทบหรือการยกเลิกการสมทบซึ่งสถานศึกษาชั้นสูงหรือสถานวิจัยให้ตราเป็น
พระราชกฤษฎีกา
   การควบคุมสถานศึกษาชั้นสูงหรือสถานวิจัย ซึ่งเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยให้กำหนดเป็น
ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 11 นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดิน มหาวิทยาลัยอาจมีรายได้ดังนี้
   (1) เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
   (2) ทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่มหาวิทยาลัย
   รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ
งบประมาณ

   มาตรา 12 บรรดารายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย จะต้องจัดการเพื่อประโยชน์ภายใน
ขอบวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยดังระบุไว้ในมาตรา 7 หรือตามวัตถุประสงค์ซึ่งผู้อุทิศทรัพย์สินให้
แก่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้

   มาตรา 13 ให้มีสภามหาวิทยาลัยประกอบด้วย
   (1) นายกสภาวิทยาลัยซึ่งจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง
   (2) อุปนายกสภามหาวิทยาลัยซึ่งได้แก่อธิการบดีโดยตำแหน่ง
   (3) กรรมการสภามหาวิทยาลัยจำนวนเจ็ดคนซึ่งเลือกตั้งจากผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดี
คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย หัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการศูนย์ และหัวหน้า
หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น
   (4) ประธานสภาคณาจารย์โดยตำแหน่ง และกรรมการสภามหาวิทยาลัยอีกจำนวนหกคนซึ่ง
เลือกตั้งจากคณาจารย์ประจำผู้ได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และ
   (5) กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสิบสี่คนซึ่งจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
แต่งตั้งจากบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยโดยคำแนะนำของนายกสภามหาวิทยาลัย อุปนายก
สภามหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัยตาม (3) และ (4)

   มาตรา 14 การเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัย ตามมาตรา 13 (3) ให้ผู้ดำรงตำแหน่ง
รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย หัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการศูนย์
และหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น เป็นผู้เลือกตั้ง ส่วนการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัย
ตามมาตรา 13 (4) ซึ่งมิใช่กรรมการโดยตำแหน่ง ให้คณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยเป็นผู้เลือกตั้ง
   คุณสมบัติของผู้รับเลือกตั้ง ตลอดจนหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัย
ตามวรรคหนึ่ง ให้กำหนดเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 15 ให้รองอธิการบดีเป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัย ในกรณีที่รองอธิการบดีหลายคน
ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งเป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัยโดยคำแนะนำ
ของอธิการบดี

   มาตรา 16 นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยมีวาระอยู่ในตำแหน่งสองปี
และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรืออาจได้รับเลือกตั้งใหม่อีกก็ได้
   นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเมื่อตายหรือลาออก
   กรรมการสภามหาวิทยาลัยตามมาตรา 13 (3) (4) และ (5) พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเมื่อ
ขาดคุณสมบัติของการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยในประเภทนั้น ๆ
   ในกรณีที่นายกรสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
แต่งตั้งหรือได้รับเลือกตั้ง พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระและได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหรือ
มีการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนแล้ว ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งและผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับ
วาระที่เหลือของกรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งได้แต่งตั้งและเลือกตั้งไว้แล้ว
   ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งตามวาระ แต่ยัง
มิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้
ทรงคุณวุฒิกับยังมิได้เลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่ ให้นายกสภามหาวิทยาลัย และ
กรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งพ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัย และกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งมีการเลือกตั้ง
กรรมการสภามหาวิทยาลัยอื่นขึ้นใหม่

   มาตรา 17 สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัยและ
โดยเฉพาะมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้
   (1) วางนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการศึกษา การวิจัยการให้บริการทางวิชาการแก่
สังคม และการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ
   (2) วางระเบียบและออกข้อบังคับต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย และอาจมอบให้ส่วนราชการใดใน
มหาวิทยาลัย เป็นผู้วางระเบียบและออกข้อบังคับสำหรับส่วนราชการนั้นเป็นเรื่อง ๆ ไป ก็ได้
   (3) พิจารณาการจัดตั้ง รวม และยุบเลิกบัณฑิตวิทยาลัย คณะวิทยาลัย แผนกอิสระ สถาบัน
ศูนย์ หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น และภาควิชา
   (4) พิจารณาการรับเข้าสมทบหรือการยกเลิกการสมทบซึ่งสถานศึกษาชั้นสูงหรือสถานวิจัย
   (5) พิจารณาให้ความเห็นชอบหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ทบวงมหาวิทยาลัย
กำหนด
   (6) อนุมัติให้ปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา และประกาศนียบัตร
   (7) แต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี คณบดี รองคณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย รอง
ผู้อำนวยการวิทยาลัย หัวหน้าแผนกอิสระ รองหัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบัน รองผู้
อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการศูนย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าหรือรองหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่น หัวหน้าภาควิชา ศาสตราจารย์กิตติคุณ รองศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์พิเศษ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่และผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ
   (8) ดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง และพิจารณาถอดถอนอธิการบดี
ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์พิเศษ
   (9) พิจารณาอนุมัติงบประมาณเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยตามมาตรา 11
  (10) วางระเบียบเกี่ยวกับบริหารงาน การเงิน และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย
  (11) แต่งตั้งผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตามมาตรา 20 ให้รักษาการในตำแหน่งอธิการบดี ในกรณีที่ตำ
แหน่งอธิการบดีว่างลง
  (12) พิจารณาและให้ความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัยตามที่อธิการบดีเสนอ
  (13) มีหน้าที่อื่นเกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัยที่มิได้ระบุให้เป็นหน้าที่ของผู้ใดโดยเฉพาะ

   มาตรา 18 การประชุมของสภามหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 19 ให้มีอธิการบดีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและรับผิดชอบงานทั้งปวงของ
มหาวิทยาลัย และอาจมีรองอธิการบดีหรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดี
หรือผู้ช่วยอธิการบดี หรือมีทั้งรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อช่วยกิจการที่
อธิการบดีจะมอบหมายก็ได้

   มาตรา 20 อธิการบดีนั้นจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของ
สภามหาวิทยาลัย จากผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
   (1) ได้ปริญญาเอกหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัย
รับรอง หรือ
   (2) ได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำการสอนวิชาในมหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรองมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัย
มาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสี่ปี หรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย
   อธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งใหม่อีกได้
แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
   รองอธิการบดี ต้องมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับอธิการบดี และเป็นข้าราชการพลเรือนของมหาวิทยาลัย
โดยให้อธิการบดีเป็นผู้เสนอการแต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดีต่อสภามหาวิทยาลัย
   ผู้ช่วยอธิการบดีต้องมีคุณสมบัติได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือ
สถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง และเป็นข้าราชการพลเรือนของมหาวิทยาลัยโดยให้
อธิการบดีเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอน
   เมื่ออธิการบดีพ้นจากตำแหน่ง ให้รองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดี พ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 21 อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
   (1) ควบคุมดูแลกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ นโยบาย
ระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   (2) ควบคุม การเงิน การพัสดุ สถานที่และทรัพย์สินอื่นของมหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามกฎหมาย
วัตถุประสงค์ ระเบียบ และข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   (3) เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการทั่วไป
   (4) จัดทำรายงานประจำปีเกี่ยวกับกิจการด้านต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย
   (5) หน้าที่อื่นตามระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย หรือตามที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย

   มาตรา 22 ให้มีสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อแนะนำต่ออธิการบดีและ
หน้าที่อื่นตามที่สภามหาวิทยาลัยหรืออธิการบดีมอบหมาย ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งคณาจารย์ประจำ
ของมหาวิทยาลัยเลือกตั้งขึ้นจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย
   จำนวนสมาชิก หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง และการดำเนินงานของสภาคณาจารย์มหาวิทยาลัย
ให้กำหนดเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 23 ในคณะ ให้มีคณบดีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของคณะและอาจ
มีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อช่วยกิจการที่คณบดีจะมอบหมายก็ได้
   ในแผนกอิสระ ให้มีหัวหน้าแผนกอิสระคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของแผนกอิสระ
และอาจมีรองหัวหน้าแผนกอิสระคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อช่วยกิจการที่หัวหน้าแผนกอิสระจะมอบหมาย
ก็ได้
   คณบดีและหัวหน้าแผนกอิสระนั้นให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย
ผู้ซึ่งได้รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัย
รับรอง และได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองมาแล้ว
ไม่น้อยกว่าห้าปี
   คณบดีและหัวหน้าแผนกอิสระมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่
จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
   รองคณบดีหรือรองหัวหน้าแผนกอิสระต้องมีคุณสมบัติตามวรรคสาม และให้คณบดีหรือหัวหน้า
แผนกอิสระเป็นผู้เสนอการแต่งตั้งและถอดถอนรองคณบดีหรือรองหัวหน้าแผนกอิสระต่อสภามหาวิทยาลัย
   เมื่อคณบดีหรือหัวหน้าแผนกอิสระพ้นจากตำแหน่ง ให้รองคณบดีหรือรองหัวหน้าแผนกอิสระพ้น
จากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 24 ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาในคณะหรือวิทยาลัย ให้มีหัวหน้าภาควิชาเป็นผู้บังคับบัญชา
และรับผิดชอบงานของภาควิชา
   หัวหน้าภาควิชานั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยผู้ซึ่งได้รับ
ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง
และได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองมาแล้วไม่น้อย
กว่าสามปี
   หัวหน้าภาควิชามีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้แต่จะดำรง
ตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้

   มาตรา 25 ในคณะ ให้มีคณะกรรมการประจำคณะ ประกอบด้วย
   (1) คณบดีเป็นประธานกรรมการ
   (2) รองคณบดี ถ้ามี เป็นกรรมการ
   (3) หัวหน้าภาควิชาในคณะ ถ้ามี เป็นกรรมการ
   (4) ในกรณีที่ไม่มีการแบ่งภาควิชา ให้มีกรรมการซึ่งคณาจารย์ประจำในคณะเลือกตั้งขึ้น
จากคณาจารย์ประจำในคณะนี้ มีจำนวนตามที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชา ให้มีกรรมการซึ่งคณาจารย์ประจำในคณะเลือกตั้งขึ้นจากคณาจารย์
ประจำในคณะนั้น มีจำนวนเท่ากับกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการใน (1) (2) และ (3) รวมกัน
แต่จะเป็นคณาจารย์ประจำในภาควิชาเดียวกันเกินหนึ่งคนไม่ได้ ถ้ากรรมการที่เลือกตั้งมีจำนวนไม่
ถึงกึ่งหนึ่ง ให้เพิ่มจำนวนกรรมการขึ้นอีกหนึ่งคน
   กรรมการตาม (4) ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งสองปี และอาจได้รับเลือกตั้งใหม่อีกก็ได้
   ให้คณบดีเป็นผู้แต่งตั้งหรือถอดถอนเลขานุการคณะกรรมการประจำคณะ เมื่อคณบดีพ้นจากตำแหน่ง
ให้เลขานุการคณะกรรมการประจำคณะพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 26 ในแผนกอิสระ ให้มีคณะกรรมการประจำแผนกอิสระ ประกอบด้วย
   (1) หัวหน้าแผนกอิสระเป็นประธานกรรมการ
   (2) รองหัวหน้าแผนกอิสระ ถ้ามี เป็นกรรมการ
   (3) กรรมการซึ่งคณาจารย์ประจำในแผนกอิสระเลือกตั้งขึ้นจากคณาจารย์ประจำในแผนกอิสระนั้น
มีจำนวนตามที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   กรรมการตาม (3) ให้มีวาระอยู่ในตำแหน่งสองปี และอาจได้รับเลือกตั้งใหม่อีกก็ได้
   ให้หัวหน้าแผนกอิสระเป็นผู้แต่งตั้งหรือถอดถอนเลขานุการและกรรมการ ประจำแผนกอิสระ
เมื่อหัวหน้าแผนกอิสระพ้นจากตำแหน่งให้เลขานุการคณะกรรมการประจำแผนกอิสระพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 27 คณะกรรมการประจำคณะหรือคณะกรรมการประจำแผนกอิสระมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้
   (1) วางนโยบายและแผนงานของคณะหรือแผนกอิสระ ให้สอดคล้องกับนโยบายของมหาวิทยาลัย
   (2) วางระเบียบและออกข้อบังคับภายในคณะหรือแผนกอิสระตามที่สภามหาวิทยาลัยมอบหมาย
ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
   (3)วางหลักสูตรและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับคณะหรือแผนกอิสระเพื่อเสนอต่อ
สภามหาวิทยาลัย
   (4) วางระเบียบและออกข้อบังคับเกี่ยวกับการศึกษาของคณะหรือแผนกอิสระเพื่อเสนอต่อ
สภามหาวิทยาลัย
   (5) เสนอการแต่งตั้งและถอดถอนศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์พิเศษ ศาสตราจารย์กิตติคุณ
รองศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์พิเศษ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ ในคณะหรือ
ในแผนกอิสระ ต่อมหาวิทยาลัย
   (6) จัดการสอบไล่สำหรับคณะหรือแผนกอิสระ
   (7) รับปรึกษาและให้ความเห็นแก่คณบดีหรือหัวหน้าแผนกอิสระ

   มาตรา28 ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณบดีคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของบัณฑิต
วิทยาลัย และอาจมีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคน เพื่อช่วยกิจการที่คณบดีจะมอบหมายก็ได้
   คุณสมบัติ วิธีการแต่งตั้ง และวาระการดำรงตำแหน่งของคณบดีและรองคณบดีให้นำมาตรา 23
มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 29 ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยคณะหนึ่งมีอำนาจและหน้า
ที่บริหารงานของบัณฑิตวิทยาลัย และอาจให้มีคณะกรรมการอื่นที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติงานต่าง ๆ ของ
บัณฑิตวิทยาลัย ตามที่สภามหาวิทยาลัยเห็นสมควรอีกได้
   การกำหนดองค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยรวมทั้งวาระ
การดำรงตำแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
ส่วนองค์ประกอบและอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการอื่น ตลอดจนวาระการดำรงตำแหน่ง
ของประธานกรรมการและกรรมการ ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัยและประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 30 ในวิทยาลัย สถาบัน ศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ให้มีผู้อำนวยการหรือ
หัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่ง เป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบงานของวิทยาลัย สถาบันศูนย์หรือหน่วยงาน
ที่เรียกชื่ออย่างอื่น และอาจมีรองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งหรือหลายคน เพื่อช่วย
กิจการที่ผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานจะมอบหมายก็ได้
   ผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้นให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ประจำของ
มหาวิทยาลัยผู้ซึ่งได้รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรอง และได้ทำการสอนในมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรองมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
   ผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปีและอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้
แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้
   รองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานต้องมีคุณสมบัติตามวรรคสองและให้ผู้อำนวยการหรือ
หัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้เสนอแต่งตั้งและถอดถอนรองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้าหน่วยงานต่อ
สภามหาวิทยาลัย
   เมื่อผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานพ้นจากตำแหน่ง ให้รองผู้อำนวยการหรือรองหัวหน้า
หน่วยงานพ้นจากตำแหน่งด้วย

   มาตรา 31 ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี คณะบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย
หัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบันภาควิชาต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มเวลา และจะ
ดำรงตำแหน่งหรือรักษาราชการแทน หรือรักษาการในตำแหน่งดังกล่าวมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง
ในขณะเดียวกันเกินหกเดือนไม่ได้

   มาตรา 32 วิธีการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย
ผู้ทรงคุณวุฒิ อธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย หัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการสถาบัน
ผู้อำนวยการศูนย์ หัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นและหัวหน้าภาควิชาให้กำหนดเป็นข้อบังคับ
ของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 33 การดำเนินงานของคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัย คณะกรรมการประจำคณะ
หรือคณะกรรมการประจำแผนกอิสระให้กำหนดเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 34 คณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยมีตำแหน่งทางวิชาการดังนี้
   (1) ศาสตราจารย์
   (2) รองศาสตราจารย์
   (3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์
   (4) อาจารย์

   มาตรา 35 ศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ต้องมีคุณวุฒิความสามารถ
ทางการสอน และผลงานวิชาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
   อาจารย์ต้องได้รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาชั้นสูงอื่นที่
สภามหาวิทยาลัยรับรองหรือมีความชำนาญพิเศษในสาขาวิชาที่มีการสอนในมหาวิทยาลัย
   ศาสตราจารย์นั้น จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย

   มาตรา 36 อาจารย์พิเศษนั้น อธิการบดีจะแต่งตั้งขึ้นประจำปีการศึกษา ตามคำแนะนำของคณบดี
หัวหน้าแผนกอิสระ ผู้อำนวยการหรือหัวหน้าหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นจากผู้มีคุณวุฒิเหมาะสม และ
มิได้เป็นคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย
   อธิการบดีอาจเสนอแต่งตั้งอาจารย์พิเศษ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ หรือรองศาสตราจารย์
พิเศษก็ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 37 ศาสตราจารย์พิเศษนั้นจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นหรือ
เคยเป็นอาจารย์พิเศษในวิชาที่ผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ โดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัย
   คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ให้กำหนดเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 38 ศาสตราจารย์ซึ่งมีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญเป็นพิเศษ และพ้น
จากตำแหน่งไปโดยไม่มีความผิด สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณในวิชาที่
ศาสตราจารย์ผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นเกียรติยศก็ได้
   คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์กิตติคุณ ให้กำหนดเป็นข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย

   มาตรา 39 ปริญญามีสามชั้น คือ
   เอก    เรียกว่า     ดุษฎีบัณฑิต         ใช้อักษรย่อ  ด.
   โท     เรียกว่า     มหาบัณฑิต         ใช้ อักษรย่อ  ม.
   ตรี     เรียกว่า     บัณฑิต            ใช้อักษรย่อ  บ.

   มาตรา 40 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญาในสาขาวิชาที่มีการสอนในมหาวิทยาลัย
   การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษรย่อสำหรับสาขาวิชานั้นอย่างไร ให้
ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 41 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้ผู้สำเร็จปริญญาบัณฑิตได้รับปริญญาเกียรตินิยมก็ได้

   มาตรา 42 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรบัณฑิตอนุปริญญาหรือ
ประกาศนียบัตรได้ดังนี้
   (1) ประกาศนียบัตรบัณฑิต ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง ภายหลังที่ได้
รับปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งแล้ว
   (2) อนุปริญญา ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งที่ยังไม่ถึงขั้นปริญญา
   (3) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะวิชา

   มาตรา 43 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่งมหาวิทยาลัยเห็นว่าทรงคุณวุฒิ
และสมควรแก่ปริญญานั้น แต่จะให้ปริญญาดังกล่าวแก่คณาจารย์ประจำหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัย
ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวาระนั้นไม่ได้
   ชั้นของปริญญาและหลักเกณฑ์การให้ปริญญากิตติมศักดิ์ ให้กำหนดเป็นข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 44 มหาวิทยาลัยอาจกำหนดให้มีครุยประจำตำแหน่ง กรรมการสภามหาวิทยาลัย
ครุยประจำตำแหน่งคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยและอาจกำหนดให้มีครุยวิทยฐานะ หรือเข็มวิทยฐานะ
เป็นเครื่องหมายแสดงวิทยฐานะของผู้ได้รับปริญญาประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญาและ
ประกาศนียบัตรก็ได้
   การกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยประจำตำแหน่ง ครุยวิทยฐานะ
และเข็มวิทยฐานะ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
   ครุยประจำตำแหน่ง ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะ จะใช้ในโอกาสใดโดยมีเงื่อนไขอย่างไร
ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย

   มาตรา 45 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับเกี่ยวกับเครื่องแบบ เครื่องหมาย หรือ
เครื่องแต่งกายนิสิตได้ โดยประกาศนียบัตรในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 46 ผู้ใดใช้ครุยประจำตำแหน่ง ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ เครื่องแบบ เครื่องหมาย
หรือเครื่องแต่งกายนิสิตของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ หรือแสดงด้วยประการใด ๆ
ว่าตนมีตำแหน่ง ปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของมหาวิทยาลัย
โดยที่ตนไม่มี ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้หรือมีตำแหน่ง หรือวิทยฐานะเช่นนั้น
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 47 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คงทำหน้าที่นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการ
สภามหาวิทยาลัยต่อไปจนกว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯแต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยและ
กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิและมีการเลือกตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้
ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 48 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีและรองอธิการบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาคงดำรงตำแหน่งต่อไป สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีถ้าดำรงตำแหน่งยังไม่
ครบสองปีนับแต่วันที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสองปี
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งคณบดีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งดำรงตำแหน่ง
ยังไม่ครบสี่ปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสี่ปี
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกวิชาอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็น
หัวหน้าภาควิชาตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าผู้นั้นดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสี่ปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง ให้
คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสี่ปี ถ้าดำรงตำแหน่งครบสี่ปีแล้ว ให้ผู้นั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไป
จนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งหัวหน้าภาควิชาตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   ให้ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบสี่ปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบสี่ปี ถ้าดำรงตำแหน่ง
ครบสี่ปีแล้ว ให้ผู้นั้นรักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันตาม
พระราชบัญญัตินี้ ซึ่งจะต้องไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   การดำรงตำแหน่งของอธิการบดี คณบดี หัวหน้าแผนกวิชา และผู้อำนวยการสถาบันตามวรรคหนึ่ง
วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มิให้ถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งในวาระตามมาตรา 20
มาตรา 23 มาตรา 24 หรือมาตรา 30 แล้วแต่กรณี

   มาตรา 49 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในคณะกรรมการประจำคณะอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา รักษาการในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้ง
และเลือกตั้งประธานและกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกิน
หนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 50 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกาว่า
ด้วยการจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัยและพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คงดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ

   มาตรา 51 ให้ผู้เป็นศาสตราจารย์ประจำ ศาสตราจารย์พิเศษ ศาสตราจารย์อุปการคุณ
รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยอยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามีฐานะเป็นศาสตราจารย์ศาสตราจารย์พิเศษ
ศาสตราจารย์อุปการคุณ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ประจำ ต่อไป
และให้เป็นคณาจารย์ตามตำแหน่งวิชาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 52 ในระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกา หรือประกาศทบวงมหาวิทยาลัยหรือข้อบังคับ
เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกา ระเบียบและข้อบังคับที่ใช้อยู่ในวันที่
พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
 ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย พุทธศักราช 2486 ได้ใช้บังคับมากกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการแก้ไข
เพิ่มเติมอีก รวม 6 ครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปริมาณงานของมหาวิทยาลัยเพิ่มมากขึ้น ได้
ขยายงานด้านการผลิตบัณฑิตเพิ่มขึ้นหลายสาขา ขยายงานด้านการสอนจนถึงขั้นปริญญาเอก และ
ขยายงานการค้นคว้าและบริการทางวิชาการแก่ชุมชนตามความต้องการในการพัฒนาประเทศเป็น
อันมาก ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงโครงสร้างและระบบงานภายในมหาวิทยาลัย เพื่อให้
การบริหารการศึกษามีความคล่องตัวและเหมาะสมกับสภาพการณ์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
(ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 55 หน้า 1 วันที่ 20 เมษายน 2522)