พระราชบัญญัติ
               ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทย
                          กับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
                               พ.ศ.2522
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2522
                        เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับ
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้

   มาตรา1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่าง
ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย พ.ศ. 2522"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซียให้เป็นไป
ตามสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ว่าด้วย
การส่งผู้ร้ายข้ามแดน ท้ายพระราชบัญญัตินี้
   การแก้ไขเพิ่มเติมรายชื่อความผิดในภาคผนวกแห่งสนธิสัญญาตามวรรคหนึ่ง เมื่อประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้เท่าที่เกี่ยวกับอำนาจ
หน้าที่ของตน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ส. โหตระกิตย์
รองนายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่ประเทศไทยและ
สาธารณรัฐอินโดนีเซียได้ลงนามในสนธิสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่ง
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2519 ในการนี้
จะต้องมีกฎหมายเพื่ออนุวัตการให้เป็นไปตามสนธิสัญญา ฯ ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
(ร.จ.เล่ม 96 ตอนที่ 53 หน้า 1 วันที่ 15 เมษายน 2522)
   สนธิสัญญา
        ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
                         ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
                           ------------------
                        รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
                                 และ
                       รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
   มีความปรารถนาที่จะกระชับความผูกพันแห่งมิตรภาพที่มีมาในประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศทั้งสอง
   พิจารณาเห็นว่า เพื่อความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิผลระหว่างประเทศทั้งสองใน
กระบวนการยุติธรรมนั้น จะต้องมีการทำสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันไว้
   จึงได้ทำความตกลงกัน ดังต่อไปนี้

                                 ข้อ 1
                       ข้อผูกพันในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
   ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติและเงื่อนไขตามที่ระบุในสนธิสัญญานี้ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รับว่าจะส่งตัวบุคคลทุกคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคี
ฝ่ายที่ร้องขอกำลังดำเนินคดี หรือซึ่งเจ้าหน้าที่ดังกล่าวต้องการตัวเพื่อลงโทษตามคำพิพากษา ให้
แก่กันและกัน

                                 ข้อ 2
                        ความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
   (1) ให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้สำหรับความผิดบรรดาที่มีรายชื่อ อยู่ในภาคผนวกแห่งสนธิสัญญานี้
   (2) ความผิดบรรดาที่บัญญัติไว้ในวรรค (1) ของข้อนี้ ให้รวมถึงการใช้ สนับสนุน และการพยายาม
กระทำความผิดเช่นว่านั้นด้วย
   (3)การแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวกที่กล่าวไว้ในวรรค (1) อาจกระทำได้เป็นครั้งคราว
โดยความตกลงร่วมกันระหว่างภาคีทั้งสองฝ่าย ความตกลงเช่นว่านั้นให้บันทึกไว้ในหนังสือแลก
เปลี่ยนทางการทูต

                                 ข้อ 3
                           ความผิดทางการเมือง
   (1) จะไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าความผิดที่ได้รับการร้องขอนั้น ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้อง
ขอถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง
   (2) การปลงชีวิตหรือพยายามปลงชีวิตประมุขแห่งรัฐ หรือสมาชิกในครอบครัวของประมุขแห่งรัฐ
หรือผู้รักษาการแทนประมุขแห่งรัฐ มิให้ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง เพื่อความมุ่งประสงค์
แห่งสนธิสัญญานี้

                                 ข้อ 4
                           การส่งคนชาติข้ามแดน
   (1) ภาคีแต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะปฏิเสธการส่งคนชาติของตนข้ามแดน
   (2) ถ้าภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอไม่สงคนชาติของตนข้ามแดน เมื่อภาคีฝ่ายที่ร้องขอได้ร้อง
ขอมา ภาคีฝ่ายนั้นจะต้องเสนอคดีนั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อฟ้องร้องต่อไป เพื่อความมุ่ง
ประสงค์นี้ ภาคีฝ่ายที่ร้องขอจะต้องส่งสำนวน ข้อสนเทศ และพยานเอกสารหรือพยานวัตถุที่เกี่ยวกับ
ความผิดนั้นให้แก่ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอ
   (3) โดยไม่คำนึงถึงวรรค (2) ของข้อนี้ ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอไม่ต้องเสนอคดีนั้นให้
เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของตนเพื่อฟ้องร้อง ถ้าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวไม่มีอำนาจในคดีนั้น

                                 ข้อ 5
                          สถานที่ที่ความผิดเกิดขึ้น
   ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขออาจปฏิเสธที่จะส่งบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวข้ามแดนสำหรับความผิดซึ่ง
ตามกฎหมายของตนถือว่าเป็นอาณาเขตของตน

                                 ข้อ 6
                  ความผิดเดียวกันซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี
   ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขออาจปฏิเสธที่จะส่งบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวข้ามแดน ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้มี
อำนาจของภาคีเช่นว่านั้นกำลังดำเนินคดีต่อบุคคลผู้นั้นอยู่เกี่ยวกับความผิดซึ่งได้รับการร้องขอให้ส่ง
ผู้ร้ายข้ามแดน

                                 ข้อ 7
                             การไม่ลงโทษซ้ำ
   จะไม่มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนถ้าเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอได้มีคำพิพากษา
เสร็จเด็ดขาดแล้วต่อบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวเกี่ยวกับความผิดซึ่งได้รับการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

                                 ข้อ 8
                 หลักเกณฑ์ว่าด้วยการพิจารณาความผิดเฉพาะเรื่อง
   บุคคลผู้ถูกส่งตัวข้ามแดนแล้วจะไม่ถูกฟ้อง ถูกลงโทษ หรือถูกคุมขัง สำหรับความผิดใด ๆ ซึ่ง
ได้กระทำก่อนส่งตัวบุคคลนั้น นอกจากความผิดที่บุคคลนั้นถูกส่งข้ามแดน เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
   (ก) เมื่อภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอ ซึ่งได้ส่งตัวบุคคลนั้นยินยอมคำร้องขอให้ให้ความยินยอมจะ
ต้องส่งให้ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอพร้อมกับเอกสารที่กล่าวไว้ในข้อ 15 และในกรณีที่มีความผิดที่
ขอให้ให้ความยินยอมนั้น เป็นความผิดที่จะต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามบทบัญญัติของข้อ 2 แห่งสนธิสัญญา
แล้ว จะต้องให้ความยินยอมเสมอ
   (ข) เมื่อบุคคลนั้นมีโอกาสจะออกจากอาณาเขตของภาคีที่ตนได้ถูกส่งตัวไปให้ แต่มิได้ออกไป
ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเด็ดขาดแล้ว หรือได้กลับเข้ามาในอาณาเขตนั้นอีก
ภายหลังที่ได้ออกไปแล้ว

                                 ข้อ 9
                            การจับกุมชั่วคราว
   (1) ในกรณีเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีฝ่ายที่ร้องขออาจร้องขอให้จับกุมบุคคลที่
ต้องการตัวไว้ชั่วคราว เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอจะวินิจฉัยเรื่องนี้ตาม
กฎหมายของตน
   (2) ในคำร้องขอให้จับกุมชั่วคราวจะต้อง ระบุว่ามีเอกสารที่กล่าวไว้ในข้อ 15 อยู่แล้ว และว่า
ตนตั้งใจจะส่งคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน คำร้องขอนั้นจะต้องระบุด้วยว่า ความผิดใดที่จะร้อง
ขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและความผิดเช่นว่านั้นได้เกิดขึ้นเมื่อใด และที่ใด กับจะต้องแจ้งรูปพรรณ
ของบุคคลที่ต้องการตัวเท่าที่จะทำได้
   (3) คำร้องขอให้จับกุมชั่วคราวนั้น ในประเทศไทยจะต้องส่งให้อธิบดีกรมตำรวจ และในประ
เทศอินโดนีเซียจะต้องส่งให้สำนักงานกลางแห่งชาติ (เอน.ซี.บี.) อินโดนีเซีย องค์การตำรวจสากล
โดยจะส่งโดยทางการทูตหรือส่งโดยกรมทางไปรษณีย์หรือโทรเลข หรือโดยผ่านทางองค์การ
ตำรวจสากล (อินเตอร์โปล) ก็ได้
   (4) ภาคีฝ่ายที่ร้องขอจะต้องได้รับแจ้งผลการร้องขอของตนโดยไม่ชักช้า
   (5) การจับกุมชั่วคราวอาจให้สิ้นสุดลงถ้าภายในระยะเวลา 20 วันหลังการจับกุม ภาคีฝ่ายที่
ได้รับการร้องขอมิได้รับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนและเอกสารที่กล่าวไว้ในข้อ 15
   (6) การปล่อยตัวจะไม่เป็นการกระทบกระเทือนแก่การจับกุมใหม่และการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้า
ได้รับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนในภายหลัง

                                ข้อ 10
                        การส่งตัวบุคคลที่จะส่งข้ามแดน
   (1) ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอจะต้องแจ้งโดยทางการทูตให้ภาคีฝ่ายที่ร้องขอทราบการวินิจฉัย
ของตนเกี่ยวกับคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน
   (2) การปฏิเสธคำร้องขอใด ๆ จะต้องให้เหตุผลประกอบด้วย
   (3) ถ้ามีการตกลงตามคำร้องขอ จะต้องแจ้งให้ภาคีฝ่ายที่ร้องขอทราบสถานที่และวันส่งตัว
ตลอดจนระยะเวลาที่บุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวได้ถูกคุมขังเพื่อการส่งตัวด้วย
   (4) ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติวรรค (5) ของข้อนี้ ถ้าบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวมิได้ถูกรับเอาตัว
ไปในวันนัดหมาย บุคคลนั้นอาจได้รับการปล่อยตัวหลังจากพ้นเวลา 15 วัน และไม่ว่าในกรณีใด ๆ
จะต้องได้รับการปล่อยตัวหลังจากพ้นเวลา 30 วัน และภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขออาจปฏิเสธที่จะ
ส่งบุคคลผู้นั้นข้ามแดนในความผิดเดียวกันนั้นได้
   (5) ถ้าโดยพฤติการณ์นอกเหนือการควบคุมของภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทำให้ภาคีฝ่ายนั้นไม่
อาจส่งตัวหรือรับตัวบุคคลที่จะต้องส่งข้ามแดนนั้นได้ ภาคีฝ่ายนั้นจะต้องแจ้งให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบ
ภาคีทั้งสองฝ่ายจะต้องตกลงกันในเรื่องวันส่งตัวครั้งใหม่ และให้ใช้บทบัญญัติวรรค 4 ของข้อนี้บังคับ

                                ข้อ 11
                            การเลื่อนการส่งตัว
   ภายหลังจากที่ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอได้วินิจฉัยในเรื่องคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว
ภาคีฝ่ายนั้นอาจเลื่อนการส่งตัวบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัว เพื่อดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นโดยภาคีฝ่ายนั้นก็
ได้ หรือถ้าบุคคลนั้นได้ถูกตัดสินลงโทษแล้ว เพื่อบุคคลนั้นจะได้รับโทษในอาณาเขตของภาคีฝ่ายนั้น
สำหรับความผิดนอกเหนือจากความผิดซึ่งได้มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

                                ข้อ 12
                            การส่งมอบทรัพย์สิน
   (1) เท่าที่กฎหมายของตนอนุญาตไว้ และเมื่อได้รับการร้องขอจากภาคีฝ่ายที่ร้องขอ ภาคี
ฝ่ายที่ได้รับการร้องขอจะต้องยึดและส่งมอบทรัพย์สิน
      (ก) ซึ่งอาจต้องใช้เป็นพยานหลักฐาน หรือ
      (ข) ซึ่งได้มาโดยผลการกระทำความผิดและซึ่งพบว่าอยู่ในความครอบครองของบุคคลซึ่ง
ถูกขอให้ส่งตัวขณะที่ถูกจับกุม หรือซึ่งค้นพบในภายหลัง
   (2) จะต้องส่งมอบทรัพย์สินที่กล่าวไว้ในวรรค (1) ของข้อนี้ แม้ว่าจะมิได้ดำเนินการส่ง
ผู้ร้ายข้ามแดนดังที่ได้ตกลงกันไว้ เนื่องจากบุคคลซึ่งถูกขอให้ส่งตัวได้ตายหรือได้หลบหนีไป
   (3) เมื่อทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องถูกยึดหรือถูกริบในอาณาเขตของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอ
ในส่วนที่เกี่ยวกับคดีอาญาซึ่งกำลังดำเนินอยู่ ภาคีฝ่ายนั้นอาจยึดทรัพย์สินไว้เป็นการชั่วคราว หรือ
ส่งมอบให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งโดยมีเงื่อนไขว่าจะส่งทรัพย์สินนั้นคืน
   (4) สิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอหรือบุคคลที่สาม อาจได้มานั้น
จะต้องได้รับความคุ้มครอง ในกรณีที่สิทธิดังกล่าวนี้มีอยู่ จะต้องคืนทรัพย์สินนั้นโดยไม่มีค่าภาระใด ๆ
ให้แก่ภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายหลังการพิจารณาคดี

                                ข้อ 13
                               วิธีพิจารณา
   วิธีพิจารณาเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนและการจับกุมชั่วคราว ซึ่งบุคคลที่ถูกขอให้ส่งข้ามแดน
ให้เป็นไปตามกฎหมายของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอเพียงฝ่ายเดียว

                                ข้อ 14
                               ค่าใช้จ่าย
   ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของภาคีฝ่ายที่ได้รับการร้องขอโดยเหตุแห่งการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น
ให้ภาคีฝ่ายนั้นเป็นผู้ออก

                                ข้อ 15
                        คำร้องขอและเอกสารสนับสนุน
   (1) คำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ทำเป็นลายลักษณะอักษร และในประเทศไทยจะต้องส่ง
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และในประเทศอินโดนีเซียจะต้องส่งให้รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงยุติธรรม โดยทางการทูต
   (2) คำร้องขอจะต้องมีเอกสารสนับสนุน คือ
      (ก) ต้นฉบับหรือสำเนาที่มีการรับรองของคำพิพากษาลงโทษ ซึ่งได้บังคับได้ทันที หรือของ
หมายจับหรือคำสั่งอื่นซึ่งมีผลบังคับเช่นเดียวกันและได้ออกตามระเบียบการที่วางไว้ในกฎหมาย
ของภาคีฝ่ายที่ร้องขอ
      (ข)คำแถลงเกี่ยวกับความผิดที่ได้มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งระบุเวลาและ
สถานที่ที่ความผิดเกิดขึ้น ลักษณะตามกฎหมายของความผิด และการอ้างบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยว
ข้องไว้ให้แน่นอนเท่าที่จะทำได้ และ
      (ค)สำเนาตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และรูปพรรณที่แน่นอนเท่าที่จะทำได้ของบุคคลซึ่ง
ถูกขอให้ส่งตัว พร้อมทั้งข้อสนเทศอื่นใดซึ่งจะช่วยให้รู้จักตัวและสัญชาติของบุคคลนั้นด้วย
   (3) เอกสารที่จะให้ในการดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจะต้องจัดทำเป็นภาษาอังกฤษ

                                ข้อ 16
                            การระงับข้อพิพาท
   ข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างภาคีทั้งสองฝ่ายอันเกิดขึ้นจากการตีความ หรือการดำเนินการให้เป็น
ผลตามสนธิสัญญานี้ จะต้องระงับโดยสันติด้วยการปรึกษาหารือหรือด้วยการเจรจากัน

                                ข้อ 17
                             การเริ่มใช้บังคับ
   สนธิสัญญาจะต้องได้รับสัตยาบัน และจะเริ่มใช้บังคับในวันแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกัน

                                ข้อ 18
                               การเลิกใช้
   ภาคีฝ่ายหนึ่งใดอาจบอกเลิกสนธิสัญญานี้ในเวลาใดก็ได้ โดยการบอกกล่าวล่วงหน้าหกเดือนถึง
เจตนาที่จะบอกเลิกไปยังภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
   การเลิกสนธิสัญญานี้จะไม่เป็นการเสียหายแก่การดำเนินคดีใด ๆ ซึ่งได้เริ่มไปแล้วก่อนวันเลิก
เช่นว่านั้น
   เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งได้รับมอบหมายอำนาจโดยถูกต้องจากรัฐบาล
ของตนแต่ละฝ่าย ได้ลงนามสนธิสัญญานี้
   ทำคู่กันเป็นสองฉบับ ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ยี่สิบเก้า มิถุนายน คริสตศักราชหนึ่งพันเก้า
ร้อยเจ็ดสิบหก เป็นภาษาไทย ภาษาอินโดนีเซีย และภาษาอังกฤษ ตัวบททุกฉบับใช้เป็นหลักฐานได้
เท่ากัน ในกรณีที่มีความแตกต่างกัน ให้ถือตัวบทภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ
   สำหรับรัฐบาลแห่ง                                 สำหรับรัฐบาลแห่ง
   ราชอาณาจักรไทย                                สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
    พิชัย รัตตกุล                                มอคตาร์ กุสุมาตมัดจา

                         ภาคผนวกที่อ้างถึงในข้อ 2
                      รายชื่อความผิดที่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้
   (1) ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
   (2) ฆ่าผู้อื่นโดยประมาท หรือฆ่าผู้อื่นโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ถึงขั้นฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
   (3) ข่มขืนกระทำชำเรา
   (4) พรากผู้เยาว์และลักพาตัว
   (5) ทำร้ายร่างกาย
   (6) หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังโดยมิชอบ
   (7) ซื้อหรือจำหน่ายบุคคลใดเพื่อจะเอาบุคคลนั้นลงเป็นทาส หรือติดต่อซื้อขายทาสเป็นปกติวิสัย
   (8) ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายเกี่ยวกับหญิงและเด็กหญิง
   (9) บุกรุกเข้าไปในเคหสถาน ลักทรัพย์ในเคหสถาน ลักทรัพย์ และความผิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  (10) ชิงทรัพย์
  (11) ปลอมเอกสารและความผิดที่เกี่ยวข้อง
  (12) เบิกความเท็จ แสดง ทำ และใช้พยานหลักฐานเท็จ
  (13) ทำลายทรัพย์สินหรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย โดยจงใจหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  (14) ยักยอก
  (15) ฉ้อโกงและหลอกลวง
  (16) ให้สินบนและฉ้อราษฎร์บังหลวง
  (17) กรรโชก
  (18) ความผิดที่เกี่ยวกับธนบัตร เหรียญกษาปณ์ และแสตมป์ของรัฐบาล
  (19) นำสินค้าเข้าหรือออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  (20) วางเพลิง
  (21) ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายเกี่ยวกับยาอันตรายและยาเสพติดให้โทษ
  (22) มีไว้ในครอบครองหรือค้าอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  (23) โจรสลัดตามกฎหมายระหว่างประเทศ
  (24) จมหรือทำลายเรือในทะเล หรือสมคบกันกระทำความผิดดังกล่าว
  (25) ประทุษร้ายบนเรือในทะเลหลวงโดยเจตนาฆ่า หรือทำร้ายร่างกาย
  (26) ต่อการจลาจลหรือสมคบกันเพื่อก่อการจลาจลตั้งแต่สองคนขึ้นไปในเรือในทะเลหลวงต่อ
อำนาจหน้าที่ของนายเรือ
  (27) ความผิดอื่นใดที่เพิ่มเติมจากภาคผนวกนี้ตามวรรค (3) ของ ข้อ 2