พระราชบัญญัติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2522 เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2516
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ "สถาบัน" หมายความว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทย "ผู้ว่าการ" หมายความว่า ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย "วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" หมายความว่า ศึกษาหรือค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี รวมทั้งพัฒนาผลของการศึกษาหรือการค้นคว้า เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ อย่างเหมาะสมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการพลังงานรักษาการ ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 6 ให้จัดตั้งสถาบันขึ้นเรียกว่า "สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย" และให้สถาบันเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (1) ริเริ่ม จัดดำเนินการวิจัย และให้บริการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ประเทศในทางเศรษฐกิจและสังคม ให้แก่หน่วยงานของรัฐและวิสาหกิจเอกชน (2) วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมกับ ภาวะเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การอนามัยและสวัสดิภาพของประชาชน (3) สนับสนุนการเพิ่มผลผลิตตามนโยบายของรัฐบาลโดยเผยแพร่ผลของการวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพื่อให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม (4) ฝึกอบรมนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (5) ให้บริการในการทดสอบ ตรวจวัด และบริการอื่นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรา 7 สถาบันมีอำนาจหน้าที่กระทำการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามที่ระบุไว้ใน มาตรา 6 และอำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง (1) ซื้อ สร้าง จัดหา โอน รับโอน เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ แลกเปลี่ยนถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครองหรือทรัพย์สิทธิต่าง ๆ และจำหน่ายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ทั้งภายใน ภายนอก ราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้อุดหนุนหรืออุทิศให้ ในกรณีการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน (2) รับค่าตอบแทนในการวิจัย และค่าบริการในการให้บริการภายในอำนาจหน้าที่ของสถาบัน รวมทั้งทำความตกลงและกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับค่าตอบแทนและค่าบริการนั้น (3) จัดตั้งหน่วยงาน ดำเนินงานและปรับปรุงหน่วยงานเกี่ยวกับการวิจัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (4)ร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือของเอกชนในกิจการที่เกี่ยวกับการวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการนำผลของการวิจัยไปใช้ให้เป็นประโยชน์ (5)จัดให้มีและดำรงไว้ซึ่งมาตรฐานแห่งชาติทางกายภาพ เพื่อการตรวจวัดปริมาณและ คุณภาพต่าง ๆ (6) รวบรวมและเผยแพร่ข้อนิเทศทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (7) จัดพิมพ์โฆษณาเอกสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนกรรมวิธีในทางหรือเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับงานของสถาบัน (8) กู้ยืมเงิน ให้กู้ยืมเงิน โดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สิน หรือลงทุน ทั้งนี้ เพื่อการวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเท่านั้น การกู้ยืมเงิน การให้กู้ยืมเงิน หรือการลงทุน ถ้าเป็นจำนวนเงินเกินคราวละห้าล้านบาท ต้อง ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน (9) ร่วมมือกับประเทศอื่น องค์การ หรือหน่วยงานต่างประเทศในกิจการทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (10) จัดให้มีและให้ทุนการศึกษาและทุนการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรา 8 รายได้ของสถาบันมีดังต่อไปนี้ (1) เงินทุนอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ (2) เงินทุนอุดหนุนจากแหล่งอื่น และเงินที่มีผู้อุทิศให้ (3) ค่าตอบแทนและค่าบริการที่สถาบันได้รับตามมาตรา 7 (2) (4) ดอกเบี้ยและผลประโยชน์อย่างอื่นจากการให้กู้ยืมเงิน การลงทุน และจากทรัพย์สินของสถาบัน ในกรณีที่มีรายได้มีจำนวนไม่พอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสถาบันและค่าภาระต่าง ๆ ที่เหมาะสม และสถาบันไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่สถาบัน เท่าจำนวนที่ จำเป็น
มาตรา 9 ให้สถาบันเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร ตามระเบียบของคณะกรรมการซึ่งได้รับ ความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
มาตรา 10 ทรัพย์สินของสถาบันไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา 11 รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งเกิดการของสถาบันเพื่อการนี้จะสั่งให้ สถาบันชี้แจงข้อเท็จจริง และความคิดเห็นทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของสถาบันที่ขัดต่อ นโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของ รัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานได้
มาตรา 12 เรื่องที่จะต้องเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีตามความในพระราชบัญญัตินี้ให้รัฐมนตรีเป็น ผู้เสนอ
มาตรา 13 ให้มีคณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เรียก โดยย่อว่า "กวท." ประกอบด้วยประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน ผู้ว่าการและผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่ เกินหกคนเป็นกรรมการ ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ ให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการ ผู้ว่าการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโดยคำแนะนำ ของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติและเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ อื่นอีกไม่เกินห้าคนเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการได้
มาตรา 14 คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายบริหารงานและควบคุมดูแลโดยทั่วไปและ รับผิดชอบซึ่งกิจการของสถาบัน อำนาจ หน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง (1) กำหนดจำนวนตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่นของพนักงานและลูกจ้าง (2) ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ แต่งตั้ง เลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การออกจากงาน ระเบียบวินัย การลงโทษ และอุทธรณ์การลงโทษ ของพนักงานและลูกจ้าง (3) ออกข้อบังคับว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (4) ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงาน และลูกจ้างและครอบครัว (5) ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการเงินของสถาบัน (6) ออกข้อบังคับอื่นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสถาบัน ในการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการจะมอบให้ผู้ว่าการเป็นผู้ปฏิบัติ การตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดก็ได้
มาตรา 15 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิต้องแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มาตรา 16 ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ต้อง (1) มีสัญชาติไทย (2) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปี (3) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย (4) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (5) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษา ถึงที่สุด หรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก เว้น แต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ (6) ไม่เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง (7) ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของสถาบัน เว้นแต่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ (8)ไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาหรือในธุรกิจที่ทำกับสถาบันไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อประโยชน์ในการลงทุนโดยสุจริตในบริษัทที่ทำสัญญาหรือธุรกิจกับสถาบัน
มาตรา 17 ประธานกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และที่ปรึกษาอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี ในกรณีที่ประธานกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษาพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ ให้ผู้ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน ในกรณีที่รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหรือที่ปรึกษาเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการผู้ทรง คุณวุฒิหรือที่ปรึกษาซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหรือที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิหรือที่ปรึกษาซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น ประธานกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และที่ปรึกษาซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับ แต่งตั้งอีกได้
มาตรา 18 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 17 ประธานกรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษาพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) รัฐมนตรีให้ออก เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 16
มาตรา 19 ในการประชุมของคณะกรรมการ ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อยู่ในที่ ประชุม ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
มาตรา 20 การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ จำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลง คะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา 21 คณะกรรมการจะตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะ กรรมการมอบหมายก็ได้ การประชุมของคณะอนุกรรมการ ให้นำมาตรา 19 และมาตรา 20 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 22 ผู้ว่าการต้องแต่งตั้งจากผู้มีคุณวุฒิทางวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี
มาตรา 23 ผู้ว่าการ ต้อง (1) มีอายุไม่เกินหกสิบปี (2) ทำงานให้แก่สถาบันได้เต็มเวลา (3) ไม่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือข้าราชการการเมืองหรือดำรง ตำแหน่งในทางการเมือง รวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น (4) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 16 (1) (3) (4) (5) หรือ (8)
มาตรา 24 ผู้ว่าการอยู่ในตำแหน่งคราวละห้าปี ผู้ว่าการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา 25 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 24 ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) รัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือหย่อนความสามารถ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 23
มาตรา 26 ผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) บริหารกิจการของสถาบัน ให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับและนโยบายที่คณะกรรมการกำหนด และบังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง (2) รับผิดชอบในการจัดการและดำเนินการของสถาบัน ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย (3) ติดต่อ แลกเปลี่ยนความรู้ และประสานงานการวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับหน่วยงาน ของรัฐ องค์การ สถาบันหรือบุคคลทั้งภายในและต่างประเทศ (4) สร้างความนิยม และความเชื่อถือให้แก่สถาบัน รวมทั้งจัดหาทุนจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อ ประโยชน์แก่การดำเนินงานของสถาบัน (5) บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด หรือตัดเงินเดือนตลอดจนลงโทษพนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ ตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานชั้นรองผู้ว่าการ ผู้อำนวยการฝ่าย ที่ปรึกษา ผู้ชำนาญการ หรือเทียบเท่า ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน (6)วางระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสถาบัน โดยไม่ขัดแย้งกับข้อบังคับที่คณะกรรมการ กำหนด (7) มอบหมายให้พนักงานปฏิบัติการแทนได้โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา 27 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของสถาบัน และเพื่อ การนี้ ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใดปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อ บังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 28 ให้ประธานกรรมการ ผู้ว่าการ กรรมกรผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษาและอนุกรรมการได้ รับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 29 การค้นพบ การประดิษฐ์ และการปรับปรุงในกรรมวิธี เครื่องมือและเครื่องจักรที่ บุคคลในสถาบันเป็นผู้กระทำขึ้นจากการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ตลอดจนสิทธิในบรรดาสิ่งเหล่านี้ ให้ ตกเป็นทรัพย์สินของสถาบันทั้งหมด ทั้งนี้ ไม่กระทบกระทั่งสิทธิของบุคคลภายนอกตามนิติกรรม ที่ได้ ทำไว้กับสถาบัน
มาตรา 30 พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ และอุทธรณ์การลงโทษได้ตามข้อบังคับที่ คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 31 ให้สถาบันจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของ พนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณี อื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่งการออกเงินสมทบเข้ากองทุน สงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ การจ่ายเงิน สงเคราะห์และการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนดด้วย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
มาตรา 32 ให้สถาบันวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการ แยกตามประเภท งานส่วนที่สำคัญ มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงกิจการที่เป็นอยู่ ตามความจริงและตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มาของรายการนั้น ๆ และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา 33 ให้สถาบันจัดทำงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ส่งผู้สอบบัญชีภายในหนึ่ง ร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา 34 ให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของสถาบัน และให้ทำการตรวจสอบ รับรองบัญชีและการเงินทุนประเภทของสถาบันทุกรอบปี
มาตรา 35 ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุดบัญชีและเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในสถาบัน เพื่อการนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของสถาบัน
มาตรา 36 ให้ผู้สอบบัญชีทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อคณะกรรมการภายใน หนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีเพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี ให้สถาบันโฆษณารายงานประจำปีของปีที่สิ้นไปนั้น แสดงบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไร ขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้วพร้อมทั้งแสดงผลงานของสถาบันในปีที่ล่วงมาและแผนงาน ที่จะจัดทำในปีต่อไป ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา 37 ให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2506 ไปเป็น ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 38 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้ รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างของสถาบันวิจัย วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทยตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่ง ประเทศไทย พ.ศ. 2506 ไปเป็นของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยตาม พระราชบัญญัตินี้ โดยให้พนักงานและลูกจ้างดังกล่าวดำรงตำแหน่งและได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างตาม ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ดำรงและได้รับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา และให้ถือว่าพนักงานและลูกจ้างที่โอนไปนั้นมีฐานะและเวลาทำงานติดต่อกัน
มาตรา 39 ให้คณะกรรมการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย ซึ่งดำรง ตำแหน่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานไป จนกว่าจะตั้งกรรมการขึ้นตามมาตรา 13
มาตรา 40 ให้ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินงานไปจนกว่าจะตั้ง ผู้ว่าการขึ้นใหม่ และให้ผู้ว่าการดำเนินการเพื่อให้รัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการตามมาตรา 13 ขึ้น ซึ่ง อย่างช้าต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 41 ให้บรรดาข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประ เทศไทย พ.ศ. 2506 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษายังคงใช้ บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้จนกว่าจะมีข้อบังคับที่ออกตาม พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากสถานการณ์ด้านการ เพิ่มประธานและความร่อยหรอในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ มีผลกระทบกระเทือนต่อความ มั่นคงของประเทศและต่อคุณภาพชีวิตของประชากร จำเป็นต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก้ ปัญหาในการเพิ่มผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและ สิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างเหมาะสมและถูกต้องกับวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่พระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทยที่ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2506 มีบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมแก่สถานการณ์ปัจจุบัน สมควรปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้การบริหาร งานเกิดความคล่องตัวและเหมาะสมกับสถานภาพของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยกำหนดองค์ประกอบของกรรมการเสียใหม่ตามรูปแบบที่จะทำให้มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ในทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีหรือสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานและ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เป็นกรรมการ กับปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสถาบันให้สามารถบริหารงานใน ลักษณะการจัดการธุรกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีประสิทธิภาพและสัมพันธ์กับวงการ อุตสาหกรรม เกษตรกรรม ธุรกิจ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสามารถให้บริการแก่ผู้ลงทุนทั้งหลายที่รัฐ และเอกชนให้ความสำคัญได้ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น (ร.จ.เล่ม 96 ตอนที่ 40 หน้า 35 วันที่ 23 มีนาคม 2522) |