พระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ "การธนาคารพาณิชย์" หมายความว่า การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินประเภทรับฝาก เงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้และใช้ประโยชน์เงินนั้นใน ทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น (ก) ให้สินเชื่อ (ข) ซื้อขายตั๋วแลกเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด (ค) ซื้อขายเงินปริวรรตต่างประเทศ "ธนาคารพาณิชย์" หมายความว่า ธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ และ หมายความรวมถึงสาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ด้วย "บริษัทมหาชนจำกัด" หมายความว่า บริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด "บริษัทจำกัด" หมายความรวมถึงบริษัทมหาชนจำกัดด้วย "เงินกองทุน" หมายความว่า (1) ทุนชำระแล้วซึ่งรวมทั้งส่วนล้ำมูลค่าหุ้นที่ธนาคารพาณิชย์ได้รับ (2) ทุนสำรอง (3) เงินสำรองที่ได้จัดสรรจากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นงวดการบัญชีตามมติที่ประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้นหรือตามข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ แต่ไม่รวมถึงเงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์ และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้ และ (4) กำไรสุทธิคงเหลือหลังจากการจัดสรรแล้ว ทั้งนี้ เมื่อ หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว "ให้สินเชื่อ" หมายความว่า ให้กู้ยืมเงิน ซื้อ ซื้อลด รับช่วงซื้อลดตั๋วเงิน เป็นเจ้าหนี้ เนื่องจากได้จ่ายหรือสั่งให้จ่ายเงินเพื่อประโยชน์ของผู้เคยค้า หรือเป็นเจ้าหนี้เนื่องจากได้ จ่ายเงินตามภาระผูกพันตามเล็ตเตอร์ออฟเครดิต "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 5 ภายใต้บังคับ มาตรา 5 จัตวา และมาตรา 5 เบญจ ธนาคารพาณิชย์นอกจากสาขา ของธนาคารต่างประเทศจะตั้งขึ้นได้ก็แต่ในรูปบริษัทมหาชนจำกัดและโดยได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี คำขออนุญาตต้องมีรายการตามที่รัฐมนตรีกำหนด และจะดำเนินการเพื่อจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี เมื่อได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว ให้บริษัทมหาชนจำกัดนั้นแจ้งการจดทะเบียนเพื่อ ขอรับใบอนุญาต ในการให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง และการอนุญาตตามวรรคสาม รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไข ตามที่เห็นสมควรก็ได้"
มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 5 ทวิ มาตรา 5 ตรี มาตรา 5 จัตวา มาตรา 5 เบญจ มาตรา 5 ฉ มาตรา 5 สัตต และมาตรา 5 อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 5 ทวิ บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินอัตราร้อยละห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่าย ได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้ หุ้นธนาคารพาณิชย์ที่บุคคลหรือห้างหุ้นส่วนดังต่อไปนี้ถืออยู่ให้นับนับรวมเป็นหุ้นของบุคคลตาม วรรคหนึ่งด้วย (1) คู่สมรสของบุคคลตามวรรคหนึ่ง (2) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของบุคคลตามวรรคหนึ่ง (3) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) เป็นหุ้นส่วน (4) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) เป็นหุ้นส่วนจำพวก ไม่จำกัดความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิดรวมกันเกินร้อยละสามสิบของทุนทั้งหมด ของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น หรือ (5) บริษัทจำกัดที่บุคคลตามวรรคหนึ่งหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (3) หรือ (4) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วย วิธีการงบประมาณ หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น มาตรา 5 ตรี ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ใดจำหน่ายหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นแก่บุคคลใดซึ่งจะ ทำให้บุคคลนั้นถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา 5 ทวิ ทุกครั้งที่มีการชี้ชวนให้เข้าชื่อซื้อหุ้น ให้ธนาคารพาณิชย์ระบุจำนวนหุ้นที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะถือหุ้น ได้ทั้งสิ้นโดยชอบด้วยมาตรา 5 ทวิ ไว้ให้ทราบในคำชี้ชวน มาตรา 5 จัตวา หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารพาณิชย์ต้องเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อผู้ถือ มีมูลค่า ของหุ้นไม่เกินหุ้นละหนึ่งร้อยบาทและข้อบังคับของธนาคารพาณิชย์ต้องไม่มีข้อจำกัดในการโอนหุ้น เว้น แต่เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 5 ทวิ หรือมาตรา 5 เบญจ หรือตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชน จำกัด มาตรา 5 เบญจ ธนาคารพาณิชย์ต้องมีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ แล้วทั้งหมด และแต่ละรายต้องถือหุ้นไม่เกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ธนาคารพาณิชย์ใดมีผู้ถือหุ้นและหรือการถือหุ้นไม่เป็นไปตามวรรคหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่ง ให้ ธนาคารพาณิชย์นั้นขอผ่อนผันจากรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในเวลาที่รัฐมนตรีกำหนด ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่ จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวน กรรมการทั้งหมด ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายหมายว่าด้วย วิธีการงบประมาณ มาตรา 5 ฉ เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดได้หุ้นของธนาคารพาณิชย์ใดมาและการได้มานั้นเป็นเหตุ ให้ถือหุ้นเกินจำนวนที่จะถือได้ตามมาตรา 5 ทวิ บุคคลนั้นจะยกเอาการถือหุ้นในส่วนที่เกินจำนวน ดังกล่าวขึ้นใช้ยันต่อธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้ และธนาคารพาณิชย์นั้นจะจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทน อื่นใดให้แก่บุคคลนั้นหรือให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมของผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นส่วนที่ เกินมิได้ มาตรา 5 สัตต เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามมาตรา 5 ทวิ มาตรา 5 เบญจ และมาตรา 5 ฉ ให้ธนาคารพาณิชย์ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นทุกคราวก่อนจ่ายเงินปันผลหรือเงินตอบแทนอื่นใด และก่อนการประชุมผู้ถือหุ้น แล้วแจ้งผลการตรวจสอบต่อธนาคารแห่งประเทศไทยตามรายการ และภายในเวลาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และในกรณีที่พบว่าผู้ถือหุ้นรายใดถือหุ้นเกินจำนวน ที่กำหนดในมาตรา 5 ทวิ ให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งให้ผู้นั้นทราบเพื่อดำเนินการจำหน่ายหุ้นส่วนที่เกิน นั้นเสีย มาตรา 5 อัฏฐ บทบัญญัติแห่งมาตรา 5 ทวิ มาตรา 5 ตรี มาตรา 5 จัตวา มาตรา 5 เบญจ มาตรา 5 ฉ และมาตรา 5 สัตต มิให้นำมาใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสาขาของ ธนาคารต่างประเทศ"
มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 6 การประกอบการธนาคารพาณิชย์โดยตั้งเป็นสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ใน ต่างประเทศจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี ในการอนุญาตรัฐมนตรีจะ กำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้ สาขาของธนาคารต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต้องดำรง สินทรัพย์ไว้ในประเทศไทยตามจำนวน ชนิดวิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประเทศกำหนดใน ราชกิจจานุเบกษา สินทรัพย์ที่ต้องดำรงตามวรรคสองต้องจัดหาด้วย (1) เงินที่นำเข้ามาจากสำนักงานใหญ่และ หรือสาขาอื่นนอกประเทศไทยของธนาคารต่างประเทศนั้น (2) เงินสำรองต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึง เงินสำรองสำหรับการลดค่าของสินทรัพย์และเงินสำรองเพื่อการชำระหนี้หรือ (3) เงินกำไรสุทธิ แต่ละงวดการบัญชีของสาขาอันได้โอนเป็นส่วนของสำนักงานใหญ่แล้วและไม่ต้องส่งออก ทั้งนี้ เมื่อ หักผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในทุกงวดการบัญชีออกแล้ว ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าสินทรัพย์ตามวรรคสองเป็นเงินกองทุน"
มาตรา 6 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 7 ทวิ และมาตรา 7 ตรี แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 7 ทวิ ผู้ใดจะกระทำการแทนธนาคารต่างประเทศโดยมีสำนักงานติดต่อกับบุคคลทั่วไป ในราชอาณาจักร หรือธนาคารพาณิชย์ใดนอกจากสาขาของธนาคารต่างประเทศจะตั้งสำนักงานเพื่อ กระทำการแทนธนาคารพาณิชย์ไม่ว่าในหรือนอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้
มาตรา 7 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 9 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 9 ทวิ นอกจากการธนาคารพาณิชย์แล้ว ธนาคารพาณิชย์อาจกระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับ หรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ เช่นการเรียก เก็บเงินตามตั๋วเงิน การรับอาวัลตั๋วเงิน การรับรองตั๋วเงิน การออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตหรือ การค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันด้วยก็ได้ เมื่อได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่จะประกอบการค้าหรือธุรกิจอื่นใดมิได้"
มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 10 ให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินกองทุนเป็นอัตราส่วนกับ (1) สินทรัพย์ทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของ รัฐมนตรี อัตราที่กำหนดนั้นจะต่ำกว่าร้อยละห้าหรือเกินร้อยละสิบห้าไม่ได้ (2) สินทรัพย์แต่ละประเภทไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรี (3) จำนวนเงินที่รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์ มีความผูกพันในการชำระเงิน ค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลด ตั๋วเงิน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ไม่ต่ำกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี สินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง (1) และ (2) ไม่รวมเงินสด เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เงินฝากที่ธนาคารอื่นในเรื่องนอกราชอาณาจักรหลักทรัพย์รัฐบาลไทย และสินทรัพย์อื่นที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี อัตราตามวรรคหนึ่ง (2) หรือ (3) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหรือไม่กำหนดก็ได้ และ จะกำหนดเฉพาะประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้ การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถ้ามีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตรา ให้สูงขึ้น จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้ มาตรา 11 ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินสดสำรองเป็นอัตราส่วนกับเงินฝาก และหรือเงินกู้ยืม ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 11 ทวิ ไม่ต่ำกว่าอัตราส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย ความเห็นชอบของรัฐมนตรี อัตราส่วนที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า และไม่เกินร้อยละห้าสิบของ เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมแล้วแต่กรณี และจะกำหนดให้เป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืม ประเภทใดประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทรวมกันหรือแยกกันก็ได้ เพื่อประโยชน์ในการดำรงเงินสดสำรองตามวรรคหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ ถือเอาหลักทรัพย์รัฐบาลไทยเป็นส่วนหนึ่งของเงินสดสำรองที่พึงดำรงนั้นก็ได้"
มาตรา 9 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 11 ทวิ มาตรา 11 ตรี มาตรา 11 จัตวา มาตรา 11 เบญจ และมาตรา 11 ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 11 ทวิ เงินฝากและหรือเงินกู้ยืมซึ่งธนาคารพาณิชย์จะต้องดำรงเงินสดสำรองให้ได้ อัตราส่วน ได้แก่เงินฝาก และหรือเงินกู้ยืมดังต่อไปนี้ (1) ยอดรวมเงินฝากทั้งหมด (2) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม (3) เงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ (4) ยอดรวมเงินกู้ยืมทั้งหมด (5) เงินกู้ยืมแต่ละประเภท การคำนวณยอดเงินฝากหรือเงินกู้ยืมตามวรรคหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยความเห็นชอบ ของรัฐมนตรีจะกำหนดให้คำนวณรวมกับยอดเงินให้เบิกเกินบัญชีที่ยังไม่ได้จ่ายไป โดยถือว่าเป็น ส่วนหนึ่งของเงินฝากหรือเงินกู้ยืมอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ มาตรา 11 ตรี ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามที่ระบุไว้ในมาตรา 11 จัตวา เป็นอัตราส่วนกับยอดเงินฝาก และหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่าอัตรา ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี อัตราที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง จะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าและไม่เกินร้อยละห้าสิบของยอดเงินฝาก และหรือยอดเงินกู้ยืมทั้งหมดหรือแต่ละประเภท แล้วแต่กรณี การกำหนดให้ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามวรรคหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดให้ ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องแต่เพียงบางประเภทหรือทุกประเภทก็ได้ และจะกำหนดอัตราส่วนของ ส่วนของแต่ละประเภทในอัตราใดก็ได้ มาตรา 11 จัตวา สินทรัพย์สภาพคล่องได้แก่ (1) เงินสด (2) เงินฝากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (3) เงินฝากสุทธิที่ธนาคารพาณิชย์อื่น (4) หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน (5) หุ้นกู้หรือพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยและปราศจากภาระผูกพัน (6) สินทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี มาตรา 11 เบญจ การดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา 11 ให้ได้อัตราส่วนกับเงินฝากและหรือ เงินกู้ยืม และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามมาตรา 11 ตรี ให้ได้อัตราส่วนกับยอดเงินฝากและ หรือยอดเงินกู้ยืม แล้วแต่กรณี ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี การกำหนดตามมาตรา 11 มาตรา 11 ทวิ วรรคสอง และมาตรา 11 ตรี วรรคหนึ่ง ให้ ประเทศในราชกิจจานุเบกษา และถ้ามีผลเป็นการเพิ่มอัตราส่วนเงินสดสำรองและอัตราส่วน สินทรัพย์สภาพคล่อง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันนับแต่วันประกาศมิได้ มาตรา 11 ฉ ในกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพของเงินตรา รัฐมนตรีมี อำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ดำรงเงินสดสำรองพิเศษไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยต่างหากจากการดำรงเงินสดสำรองตามมาตรา 11 การกำหนดอัตราตามวรรคหนึ่ง ให้กำหนดเป็นอัตราส่วนกับเงินฝากและหรือเงินกู้ยืมตามมาตรา 11 ทวิ ทั้งหมดหรือแต่ละประเภทเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นจากยอดเงินดังกล่าวเมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่ง และ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
มาตรา 10 ให้ยกเลิกความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 12 ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการดังต่อไปนี้ (1) ลดทุนโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี (2) ให้สินเชื่อแก่กรรมการหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขาย ช่วงลดตั๋วเงินของกรรมการ (3) รับหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นประกันการให้สินเชื่อหรือรับหุ้นของธนาคารพาณิชย์ จาก ธนาคารพาณิชย์อื่นเป็นประกันการให้สินเชื่อ (4) ซื้อหรือมีไว้เป็นประจำซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่ (ก) เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับดำเนินธุรกิจ หรือสำหรับพนักงานและลูกจ้างของ ธนาคารแห่งประเทศไทยในการให้ความเห็นชอบธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนด เงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้ หรือ (ข) เป็นการได้มาจากการชำระหนี้หรือจากการประกันการให้สินเชื่อหรือจากการซื้อ อสังหาริมทรัพย์ที่จำนองไว้แก่ธนาคารพาณิชย์นั้นจากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาล หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ (5) ซื้อหรือมีหุ้นในบริษัทจำกัดใดเกินร้อยละสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท จำกัดนั้น หรือซื้อหรือมีหุ้นหรือหุ้นกู้มีมูลค่าหุ้นรวมกันทั้งสิ้นเกินร้อยละยี่สิบของเงินกองทุน ของธนาคารพาณิชย์นั้น ทั้งนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยในการอนุญาต ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้ (6) ซื้อหรือมีหุ้นธนาคารพาณิชย์อื่น เว้นแต่จะได้มาจากการชำระหนี้หรือการประกันการให้ สินเชื่อ แต่ต้องจำหน่ายภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันที่ได้มา (7) จ่ายเงินหรือทรัพย์สินอื่นให้แก่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น เป็น ค่านายหน้าหรือค่าตอบแทนสำหรับหรือเนื่องจากการกระทำหรือการประกอบธุรกิจใด ๆ ของ ธนาคารพาณิชย์ทั้งนี้ นอกจากบำเหน็จ เงินเดือน เงินรางวัล และเงินเพิ่มอย่างอื่นบรรดาที่พึงจ่ายตามปกติ (8) ขายหรือให้อสังหาริมทรัพย์ใด ๆ หรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่ารวมกันสูงกว่าที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดแก่กรรมการ หรือซื้อทรัพย์สินจากกรรมการ ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับความ ยินยอมจากคณะกรรมการ และได้รายงานให้ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบแล้ว หรือ (9) กระทำการใด ๆ ที่มีลักษณะเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันในระบบธนาคารหรือเป็นการผูกขาด หรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของ รัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
มาตรา 11 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 12 ทวิ มาตรา 12 ตรี และมาตรา 12 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 12 ทวิ การให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือ ขายช่วงลดตั๋วเงิน แก่หรือเพื่อบุคคลหรือแก่หรือเพื่อกรรมการตามมาตรา 12 (2) ด้วย (1) คู่สมรสของกรรมการ (2) บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของกรรมการ (3) ห้างหุ้นส่วนสามัญที่กรรมการหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) เป็นหุ้นส่วน (4) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่กรรมการหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัด ความรับผิด หรือเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัดนั้น (5) บริษัทจำกัดที่กรรมการและหรือบุคคลตาม (1) หรือ (2) หรือห้างหุ้นส่วนตาม (3) หรือ (4) ถือหุ้นรวมกันเกินร้อยละสามสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจำกัดนั้น มาตรา 12 ตรี ธนาคารพาณิชย์ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่ตกเป็นของธนาคารพาณิชย์ตาม มาตรา 12 (4) (ข) ภายในห้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของธนาคารพาณิชย์ เว้นแต่ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะขยายระยะเวลาให้หรือให้ความเห็นชอบเพื่อใช้เป็นสถานที่ตามมาตรา 12 (4) (ก) มาตรา 12 จัตวา ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมีคุณสมบัติหรือลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นหรือทำหน้าที่กรรมการ ผู้จัดการรองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์ (1) เป็นบุคคลล้มละลาย (2) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำ โดยทุจริต (3) เคยถูกลงโทษไล่ออกหรือปลดออกจากราชการ หรือองค์การหรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ (4) เคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของธนาคารพาณิชย์ที่ถูกเพิกถอน ใบอนุญาต เว้นแต่จะได้รับยกเว้นจากธนาคารแห่งประเทศไทย (5) ถูกถอดถอนจากธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีตามมาตรา 25 (6) เป็นข้าราชการเมือง (7) เป็นข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เว้นแต่เป็นกรณีของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือ เป็นกรณีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ (8) เป็นผู้จัดการ รองผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด ซึ่งคนหรือบุคคล ตามมาตรา 12 ทวิ ถือหุ้นอยู่ เว้นแต่จะเป็นกรรมการ หรือที่ปรึกษาของธนาคารพาณิชย์"
มาตรา 12 ให้ยกเลิกความในมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 13 ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ (1) ให้สินเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง เมื่อสิ้นวันใด วันหนึ่งเป็นจำนวนเงินเกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วย ความเห็นชอบของรัฐมนตรี (2) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันใน การชำระเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เมื่อสิ้นวันใดวันหนึ่งเป็นจำนวนเงิน เกินอัตราส่วนกับเงินกองทุนตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด ใน การอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้ อัตราตามวรรคหนึ่ง (2) ธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดหรือไม่ก็ได้ การกำหนดตามวรรคหนึ่ง (1) หรือ (2) ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และถ้ามีผลเป็น การเปลี่ยนแปลงอัตราให้ค่ำลง จะให้ใช้บังคับก่อนสิบห้าวันประกาศมิได้ ให้นำความในมาตรา 12 ทวิ มาใช้บังคับแก่การกระทำตามวรรคหนึ่ง (1) และ (2) ด้วย โดยอนุโลม"
มาตรา 13 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 13 ทวิ และมาตรา 13 ตรี แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 13 ทวิ บทบัญญัติแห่งมาตรา 13 ไม่ให้ใช้บังคับแก่กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ (1) ให้กู้ยืมเงินโดยการซื้อหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์อื่นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนด (2) ให้กู้ยืมเงินโดยมีประกันด้วยหลักทรัพย์รัฐบาลไทย หรือหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินมูลค่าแห่งหลักทรัพย์ หรือทรัพย์สินที่ ธนาคารพาณิชย์นั้นได้ตีราคารับไว้เป็นประกัน (3) ให้สินเชื่อตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด หรือ (4) รับอาวัลตั๋วเงิน รับรองตั๋วเงิน ออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ธนาคารพาณิชย์มีความผูกพันใน การชำระเงิน หรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขายลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน ทั้งนี้ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 13 ตรี เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศหรือเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจ รัฐมนตรี มีอำนาจกำหนดการดังต่อไปนี้ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ (1) ให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการประเภทปิด ๆ ไม่น้อยกว่าอัตราที่กำหนด (2) ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ให้สินเชื่อในกิจการใด ๆ เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นเกินอัตราที่กำหนด การกำหนดตาม (1) ทุกครั้งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี อัตราที่กำหนดตาม (1) รวมกันทั้งสิ้นทุกประเภทของกิจการต้องไม่เกินร้อยละยี่สิบของยอกเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ใน วันสิ้นปีก่อนหน้านั้น การกำหนดตาม (2) ให้กำหนดเป็นร้อยละของยอดเงินให้สินเชื่อในแต่ละกิจการของ ธนาคารพาณิชย์นั้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ การกำหนดตามมาตรานี้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขและ ระยะเวลาเพื่อปฏิบัติการไว้ด้วยก็ได้"
มาตรา 14 ยกเลิกความในมาตรา 14 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 14 ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้ (1) ดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์อาจจ่ายได้ (2) ดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ (3) ค่าบริการที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ (4) เงินมัดจำที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก (5) หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเรียก บรรดาเงิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นใดที่อาจกำหนดเป็นเงินได้ ที่ผู้ฝากเงินหรือบุคคลอื่นได้รับจาก ธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นเนื่องจากการฝากเงินหรือที่ธนาคาร พาณิชย์หรือพนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้นได้รับเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นของ ธนาคารพาณิชย์ ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลด หรือค่าบริการตามความใน (1) หรือ (2) หรือ (3) แล้วแต่กรณี เว้นแต่ค่าบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ตาม (3) ไม่ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่ธนาคารพาณิชย์อาจเรียกได้ตาม (2) การกำหนดตามมาตรานี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 15 ให้ธนาคารพาณิชย์จดแจ้งบัญชีแสดงหนี้สินและสินทรัพย์ให้ครบถ้วนถูกต้องตาม ความเป็นจริง และประกาศรายการย่อตามแบบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดโดยแสดงหนี้สินและ สินทรัพย์ที่มีอยู่ในวันทำงานวันสุดท้ายของทุกเดือน หรือในวันอื่นที่ได้รับความเห็นชอบจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศตามวรรคหนึ่งให้เสนอต่อธนาคารแห่งประเทศไทยหนึ่งฉบับ และให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานภายในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือนถัดไป และให้ลงในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อยหนึ่งฉบับ ด้วยเว้นแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น"
มาตรา 15 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 15 ทวิ เมื่อสิ้นงวดการบัญชีใด ถ้าธนาคารพาณิชย์ใดมีสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือ เรียกคืนไม่ได้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นตัด สินทรัพย์ดังกล่าวออกจาก บัญชีเมื่อสิ้นงวดการบัญชีนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปฏิบัติเป็นอย่าง อื่น ในการอนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ ให้ปฏิบัติด้วยก็ได้ ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ถ้านำสินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืน ไม่ได้ในส่วนที่ไม่ได้ตัดออกจากบัญชีมาหักออกจากเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์นั้นแล้ว หาก ปรากฏว่าเงินกองทุนที่คงเหลือมีจำนวนต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา 10 (1) ให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจกำหนดมาตรการใด ๆ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นถือปฏิบัติจนกว่าจะได้ตัด สินทรัพย์ที่ไม่มีราคาหรือเรียกคืนไม่ได้นั้นหมดสิ้นไป"
มาตรา 16 ให้ยกเลิกความในมาตรา 16 และมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคาร พาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 16 ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา 5 ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนภายในสี่ เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารพาณิชย์และก่อนวันประชุมใหญ่ งบดุลนั้นจะต้องมีการรับรองของ ผู้สอบบัญชี ผู้สอบบัญชีนั้นต้องเป็นผู้ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบด้วยและต้องมิใช่กรรมการ พนักงาน หรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์นั้น ให้ธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา 6 ประกาศงบดุลและบัญชีกำไรขาดทุนของธนาคารในต่างประเทศ ที่ธนาคารพาณิชย์นั้นเป็นสาขาภายในเวลาสี่เดือนนับแต่วันสิ้นปีธุรกิจของธนาคารต่างประเทศนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุขัดข้องอันสมควร ประกาศตามมาตรานี้ให้ปิดไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน มาตรา 17 ให้ธนาคารพาณิชย์เปิดทำการตามเวลาและหยุดทำการตามวันที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดเว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้เปิดทำการหรือหยุดทำการในเวลาหรือวันอื่นจากธนาคารแห่งประเทศไทย ในการอนุญาตดังกล่าวธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ปฏิบัติด้วยก็ได้ ให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศเวลาทำการและวันหยุดทำการดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงาน"
มาตรา 17 ให้ยกเลิกความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 25 เมื่อรัฐมนตรีได้รับรายงานการตรวจสอบของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์และเห็น ว่าฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใดอยู่ในลักษณะอันจะเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย อย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์ของประชาชน รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือสั่งเพิกถอน ใบอนุญาตก็ได้ แต่ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการแก้ไขการบริหารงานรวมทั้งย้ายหรือถอน กรรมการหรือพนักงานของธนาคารพาณิชย์ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่รัฐมนตรี กำหนด รัฐมนตรีจะยังไม่สั่งควบคุมธนาคารพาณิชย์นั้นหรือยังไม่สั่งเพิกถอนใบอนุญาตก็ได้ ในการนี้ รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของ ธนาคารพาณิชย์นั้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องปฏิบัติด้วยก็ได้"
มาตรา 18 ให้ยกเลิกความในมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 35 เพื่อประโยชน์แห่งมาตรา 25 และมาตรา 26 ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือ พนักงานเจ้าหน้าที่ แล้วแต่กรณี มีอำนาจสั่งให้กรรมการ พนักงานหรือลูกจ้างของธนาคารพาณิชย์ และผู้สอบบัญชีของธนาคารพาณิชย์มาให้ถ้อยคำ หรือส่งสำเนาหรือแสดงสมุดบัญชี เอกสาร หรือ หลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ และให้มีอำนาจเข้าตรวจกิจการ และสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ในระหว่างเวลาทำงานปกติ
มาตรา 19 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 35 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 35 ทวิ ให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มีอำนาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ที่มีเหตุอันควร สงสัยว่ามีการกระทำอันเป็นความผิดตามมาตรา 7 ทวิ หรือมาตรา 8 เพื่อตรวจสอบได้ และให้มี อำนาจยึดหรืออายัดเอกสารหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวเพื่อประโยชน์ใน การตรวจสอบหรือดำเนินคดีได้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามวรรคหนึ่งให้เจ้าของหรือบุคคลซึ่งอยู่ใน สถานที่นั้นมีหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตามสมควร"
มาตรา 20 ให้ยกเลิกความในมาตรา 39 มาตรา 40 มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 45 มาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทน "มาตรา 39 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 7 ทวิ มาตรา 9 หรือมาตรา 19 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 40 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 8 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 41 ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ตรวจสอบทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่แจ้งแก่ผู้ถือหุ้นอันเป็น การฝ่าฝืนมาตรา 5 สัตต หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ต้องบอกให้แจ้งใน การยื่นรายงานลับหรือให้คำชี้แจงตามมาตรา 23 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท มาตรา 42 ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 7 หรือมาตรา 12 (1) หรือ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา 5 วรรคสี่ หรือมาตรา 6 ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินสามแสนบาท มาตรา 43 ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 11 ฉ หรือมาตรา 18 ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท มาตรา 44 ธนาคารพาณิชย์ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 5 ตรี วรรคหนึ่ง มาตรา 5 เบญจ มาตรา 5 ฉ มาตรา 9 ทวิ มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 11 ตรี มาตรา 12 (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) หรือ (9) มาตรา 12 ตรี มาตรา 12 จัตวา มาตรา 13 มาตรา 14 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง มาตรา 15 ทวิ วรรคหนึ่ง มาตรา 16 มาตรา 17 หรือ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขหรือคำสั่งของรัฐมนตรีตามมาตรา 7 มาตรา 13 ตรี มาตรา 21 หรือมาตรา 23 หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของ ธนาคารแห่งประเทศไทยตามมาตรา 12 (4) (ก) หรือ (5) มาตรา 15 ทวิ หรือมาตรา 17 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท มาตรา 45 ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 5 ตรี วรรคสอง มาตรา 7 ตรี หรือ มาตรา 15 วรรคสอง หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขทีทธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม มาตรา 7 ทวิ หรือมาตรา 7 ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท มาตรา 46 ความผิดตามมาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 หรือมาตรา 45 ถ้าเป็นกรณี การกระทำความผิดต่อเนื่อง ให้ปรับอีกไม่เกินวันละสามพันบาท สำหรับการกระทำความผิดตาม มาตรา 42 หรือมาตรา 43 หรือให้ปรับอีกไม่เกินวันละสองพันบาท สำหรับการกระทำความผิด ตามมาตรา 44 หรือมาตรา 45 แล้วแต่กรณี ตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่"
มาตรา 21 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 46 ทวิ มาตรา 46 ตรี มาตรา 46 จัตวา มาตรา 46 เบญจ มาตรา 46 ฉ มาตรา 46 สัตต และมาตรา 46 อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 "มาตรา 46 ทวิ ในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ใดกระทำความผิดตามมาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 หรือมาตรา 45 กรรมการของธนาคารพาณิชย์นั้น หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบใน การดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของธนาคารพาณิชย์ นั้นด้วย มาตรา 46 ตรี ความผิดตามมาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 45 หรือมาตรา 46 ทวิ ถ้ามิได้ฟ้องต่อศาลหรือมิได้มีการเปรียบเทียบตามมาตรา 46 อัฏฐ ภายในหนึ่งปีนับแต่วัน ที่ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์ตรวจพบการกระทำความผิด หรือเกินกำหนดห้าปีนับแต่วันกระทำ ความผิดเป็นอันขาดอายุความ มาตรา 46 จัตวา ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 29 มาตรา 30 หรือมาตรา 31 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 46 เบญจ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตาม มาตรา 35 หรือขัดขวางมิให้ผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบกิจการ และสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือสอบสวนและตรวจสอบตามมาตรา 35 หรือให้ถ้อยคำ หรือ แสดงสมุด บัญชี เอกสาร และหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการและสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ หรือ ส่งสำเนาสิ่งเหล่านั้นตามมาตรา 35 อันเป็นเท็จ หรือขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่ผู้ตรวจการ ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งปฏิบัติการตามมาตรา 35 ทวิ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับ ไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 46 ฉ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการควบคุมธนาคารพาณิชย์หรือพนักงานควบคุม ธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งสั่งตามมาตรา 36 ต้องระวางโทษจำคุกไม่ เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 46 สัตต ผู้ใดได้ล่วงรู้กิจการของธนาคารพาณิชย์ใดเนื่องจากการปฏิบัติตามอำนาจและ หน้าที่ที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ อันเป็นกิจการที่ตามปกติวิสัยของธนาคารพาณิชย์จะพึงสงวนไว้ ไม่เปิดเผย ถ้าผู้นั้นนำไปเปิดเผยนอกจากตามหน้าที่ หรือเพื่อประโยชน์แก่การสอบสวนหรือ การพิจารณาคดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 46 อัฏฐ ความผิดตามมาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 44 มาตรา 45 หรือมาตรา 46 ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้ คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้มีจำนวนสามคนและคนหนึ่งต้องเป็น พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อคณะกรรมการได้ทำการเปรียบเทียบกรณีใด และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามคำเปรียบเทียบ ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแล้ว ให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน"
มาตรา 22 บุคคลใดถือหุ้นธนาคารพาณิชย์รวมกันเกินอัตราที่กำหนดตามมาตรา 5 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้อยู่แล้วก่อน วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงมีสิทธิถือหุ้นนั้นได้ต่อไป แต่ถ้าได้จำหน่ายหุ้นนั้นไปเท่าใด ก็ให้คงมีสิทธิถือหุ้นเกินอัตราที่กำหนดได้เท่าจำนวนหุ้นที่เหลือนั้น ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้รับมรดกในหุ้นนั้นในวันหรือหลัง วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม บทบัญญัติมาตรา 5 ฉ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัตินี้ มิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้ถือหุ้นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มาตรา 23 ธนาคารพาณิชย์ใดที่จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และได้รับอนุญาตให้ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคง เป็นบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังต่อไปได้ และถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นได้ออก หุ้นซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา 5 จัตวา และหรือมีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรา 5 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ นี้ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนินการแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามมาตรา 5 จัตวา หรือมาตรา 5 เบญจ แล้วแต่กรณี ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขดัง ต่อไปนี้ (1) ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็น บุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวน ไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (2) ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็น บุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยรายโดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็นจำนวน ไม่ต่ำกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด (3) ภายในสามปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ต้องดำเนินการให้มีผู้ถือหุ้นซึ่งเป็น บุคคลธรรมดาอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองร้อยห้าสิบราย โดยผู้ถือหุ้นดังกล่าวต้องถือหุ้นรวมกันเป็น จำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง (1) (2) หรือ (3) ถ้ามีเหตุจำเป็นและสมควร รัฐมนตรี จะขยายระยะเวลาให้คราวละไม่เกินหกเดือนก็ได้แต่เมื่อนับระยะเวลารวมกันทั้งหมดแล้วจะ ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 24 ภายในห้าปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับธนาคารพาณิชย์ใดที่ได้รับอนุญาตให้ ประกอบการธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออกหุ้น ใหม่ ถ้าธนาคารพาณิชย์นั้นยังมิได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดให้ธนาคารพาณิชย์นั้นดำเนิน การตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (1) ให้ธนาคารพาณิชย์ออกหนังสือชี้ชวนให้ประชาชนเข้าชื่อซื้อหุ้นได้ ในการออกหนังสือชี้ชวน ดังกล่าว ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยหนังสือชี้ชวน ในกรณีเพิ่มทุนตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด มาใช้บังคับโดยอนุโลม (2) หุ้นที่ออกในการเพิ่มทุนนั้น ธนาคารพาณิชย์ต้องดำเนินการขายให้แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่ เป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์นั้นไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่ และจะขาย ให้แต่ละคนเกินร้อยละศูนย์จุดห้าของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดไม่ได้ บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามมิให้บริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้นและบทบัญญัติว่าด้วยการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ มิให้นำมาใช้บังคับแก่ การเพิ่มทุนตามมาตรานี้ ความในมาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วย วิธีการงบประมาณ
มาตรา 25 ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ดำเนินการแก้ไขหุ้นหรือผู้ถือหุ้นหรือกรรมการให้ถูกต้อง ตามมาตรา 5 จัตวา หรือมาตรา 5 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ แล้วแต่กรณี ภายในระยะเวลาตามมาตรา 23 กำหนดหรือที่รัฐมนตรีผ่อนผันต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทถ้าเป็นการกระทำผิดต่อเนื่อง ให้ปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังกระทำการฝ่าฝืนอยู่
มาตรา 26 ธนาคารพาณิชย์ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 24 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา 27 ความผิดตามมาตรา 25 และมาตรา 26 ให้คณะกรรมการตามมาตรา 46 อัฏฐ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 และให้นำมาตรา 46 ตรี ตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าวมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
มาตรา 28 สำนักงานที่ได้ตั้งขึ้นแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เพื่อกระทำการ ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารแห่งประเทศไทยในการติดต่อกับบุคคลทั่วไปตามมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ถ้าประสงค์จะดำเนินการ ต่อไป ให้ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารต่างประเทศหรือผู้จัดตั้งสำนักงานนั้นแล้วแต่กรณียื่นคำขอรับ อนุญาตให้ถูกต้องภายในเวลาสามเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 29 ธนาคารพาณิชย์ใดมีหุ้นหรือหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เกินจำนวนที่กำหนดในมาตรา 12 (5) หรือถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์อื่นอันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 12 (6) แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ นี้ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นยื่นคำขอผ่อนผันต่อธนาคารแห่งประเทศไทยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับในการผ่อนผันธนาคารแห่งประเทศไทยจะกำหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติด้วย ก็ได้
มาตรา 30 ธนาคารพาณิชย์ใดให้สินเชื่อหรือค้ำประกันการกู้ยืมเงินหรือค้ำประกันการขาย ขาย ลดหรือขายช่วงลดตั๋วเงิน แก่หรือเพื่อกรรมการหรือบุคคลตามมาตรา 12 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำได้โดยชอบอยู่ก่อนวันที่ พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์นั้นปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรา 12 (2) และมาตรา 12 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 31 อสังหาริมทรัพย์ใดที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับและต้อง จำหน่ายไปตามมาตรา 12 ตรี แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ธนาคารพาณิชย์จำหน่ายเสียภายในเก้าปีนับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้น ตกมาเป็นของธนาคารพาณิชย์หรือภายในระยะเวลาที่ได้รับการขยาย
มาตรา 32 ในกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมิได้ออกประกาศโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 13 หรือมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ หรือออกประกาศแล้วแต่ประกาศดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้ธนาคารพาณิชย์ถือปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตาม มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 13 และมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ไปพลางก่อน เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจ ตามมาตรา 10 และมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ตามวรรค หนึ่ง คำว่า "เงินกองทุน" ตามประกาศดังกล่าวให้หมายความถึงเงินกองทุนตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505
มาตรา 33 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ได้ประกาศใช้บังคับมานานแล้วมีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย สมควรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเดิม และเพิ่มเติมบทบัญญัติใหม่ขึ้นเพื่อให้เกิดความมั่นคงและ เป็นหลักประกันแก่การประกอบการธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับ อนุญาตให้ประกอบกิจการได้จากรัฐบาลนั้นเป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของประเทศย่อมเป็นการสมควร ที่ธนาคารพาณิชย์จะพึงมีบทบาทในการใช้เงินทุนนั้นไปทางอำนวยประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศให้มากยิ่งขึ้น และอีกประการหนึ่ง การธนาคารพาณิชย์นับว่าเป็นกิจการค้าขายอันกระทบ ถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน เป็นการสมควรที่จะให้สาธารณชนได้มีโอกาสเข้ามา มีส่วนร่วมในการประกอบกิจการด้วย จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ (ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 31 หน้า 1 วันที่ 7 มีนาคม 2522) |