พระราชบัญญัติ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 เป็นปีที่ 34 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ "ท่าอากาศยาน" หมายความว่า สนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยานที่อยู่ใน อำนาจดำเนินการของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย "กิจการท่าอากาศยาน" หมายความว่า กิจการจัดตั้งสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน การจัดตั้งเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศ การให้บริการในลานจอดอากาศยาน การให้บริการช่างอากาศและการให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศยาน ผู้ประจำหน้าที่สินค้า พัสดุภัณฑ์ ผู้โดยสาร และลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศ รวมตลอดถึงการให้บริการหรือสิ่ง อำนวยความสะดวกอันเกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการดังกล่าว "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการในคณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย "ผู้ว่าการ" หมายความว่า ผู้ว่าการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย "พนักงาน" หมายความว่า พนักงานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยรวมทั้งผู้ว่าการ "ลูกจ้าง" หมายความว่า ลูกจ้างของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย "เจ้าพนักงาน" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจ ดังต่อไปนี้ด้วย (1) ออกกฎกระทรวงกำหนดเขตท่าอากาศยานโดยให้มีแผนที่แสดงเขตท่าอากาศยานแนบ ท้ายกฎกระทรวงนั้นด้วย (2) ออกกฎกระทรวงเกี่ยวกับการควบคุม การปรับปรุง และการให้ความสะดวกและความ ปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขตท่าอากาศยาน กฎกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดให้ คณะกรรมการมีอำนาจออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงนั้นอีกชั้นหนึ่ง ก็ได้ (3) แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา 5 ให้จัดตั้งการท่าอากาศยานขึ้นเรียกว่า "การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า "ทอท." และให้ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Airports Authority of Thailand" เรียกโดยย่อว่า "AAT" ให้ ทอท. เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมกิจการท่าอากาศยาน รวมทั้งการดำเนินกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบกิจการท่าอากาศยาน
มาตรา 6 ให้กิจการของ ทอท. ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วย การคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์แต่พนักงานและลูกจ้างของ ทอท. ต้องได้รับการคุ้มครองแรงงานไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
มาตรา 7 ทอท. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนขึ้น ณ ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้ แต่การตั้งสำนักงานสาขานอกราชอาณาจักร ต้องได้รับ อนุมัติจากรัฐมนตรีก่อน
มาตรา 8 ให้ ทอท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา 5 และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง (1) ถือกรรมสิทธิ์หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพย์สิทธิต่าง ๆ สร้าง ซื้อ จัดหา ขาย จำหน่าย เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน โอน รับโอน หรือ ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้ (2) จัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งของ เครื่องใช้ หรือบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกและปลอดภัยอัน เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการท่าอากาศยาน (3) กำหนดอัตราค่าภาระการใช้ท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการและความสะดวกต่าง ๆ ใน กิจการของ ทอท. ตลอดจนวิธีชำระค่าภาระดังกล่าว (4) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการใช้และรักษาท่าอากาศยาน ทรัพย์สิน บริการ และความสะดวกต่าง ๆ ในกิจการท่าอากาศยาน (5) สำรวจ วางแผน ออกแบบ สร้างและปรับปรุงท่าอากาศยานและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ กิจการท่าอากาศยาน (6) ควบคุม ปรับปรุงและให้ความสะดวกและความปลอดภัยแก่กิจการท่าอากาศยานในเขต ท่าอากาศยาน (7) ให้บริการและความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบธุรกิจในการเดินอากาศในการใช้ ท่าอากาศยาน (8) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร (9) ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ ทอท. (10) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (11) ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ ทอท. (12) ว่าจ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการส่วนหนึ่งส่วนใดของ ทอท. แต่ถ้ากิจการนั้น มีรัฐวิสาหกิจใดมีอำนาจดำเนินการและคณะกรรมการเห็นว่ารัฐวิสาหกิจนั้นสามารถจะดำเนินการ ให้บังเกิดผลและมีประสิทธิภาพได้ ก็ให้ว่าจ้างหรือมอบให้รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นผู้ประกอบกิจการก่อน ผู้อื่น (13) ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตามวัตถุประสงค์ของ ทอท. (14) กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ ทอท. ในกรณีที่ ทอท. ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบินหรือที่ขึ้นลง ชั่วคราวของอากาศยานของส่วนราชการใดและต้องใช้ทรัพย์สินในกิจการท่าอากาศยานร่วมกันกับ ส่วนราชการนั้น การใช้อำนาจตามมาตรานี้ที่มีผลกระทบต่อทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันดังกล่าวต้องได้รับ ความเห็นชอบจากส่วนราชการนั้นก่อน
มาตรา 9 ให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในเขตสนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลง ชั่วคราวของอากาศยานที่ประกาศกำหนดตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ ทั้งนี้ ตามที่ คณะรัฐมนตรีมอบหมายและกำหนดโดยกฎกระทรวง และให้ ทอท. มีสิทธิและหน้าที่เสมือนผู้ได้รับ อนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ แต่ในการนี้ ทอท. จะว่า จ้างหรือมอบให้บุคคลใดประกอบกิจการดังกล่าวส่วนหนึ่งส่วนใดแทนก็ได้
มาตรา 10 ทุนของ ทอท. ประกอบด้วย (1) เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา 50 และมาตรา 52 เมื่อได้หักหนี้สินออกแล้ว (2) เงินที่ได้รับจากงบประมาณโดยรัฐบาลจ่ายเป็นทุนประเดิมห้าสิบล้านบาท และจัดสรร เพิ่มเติมเป็นคราว ๆ ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควร (3) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
มาตรา 11 เงินสำรองของ ทอท. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่น ๆ ตามความ ประสงค์แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
มาตรา 12 ทรัพย์สินของ ทอท. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
มาตรา 13 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย" ประกอบด้วยประธานกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังหนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงคมนาคมหนึ่งคน ผู้แทนกองทัพอากาศหนึ่งคน กรรมการอื่นอีกไม่เกินหกคนและผู้ว่าการเป็นกรรมการ ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น
มาตรา 14 เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ทอท. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ ทอท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ
มาตรา 15 ประธานกรรมการหรือกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ทอท. ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือ โดยทางอ้อม เว้นแต่เป็นเพียงประธานกรรมการหรือกรรมการของรัฐวิสาหกิจซึ่งกระทำการ อันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้องไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง และ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและ พนักงานรัฐวิสาหกิจด้วย
มาตรา 16 ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ หรือ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ใน ตำแหน่งให้ผู้ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่ เหลืออยู่ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งประธานกรรมการหรือ กรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่ง เพื่อดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่ ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ แต่ ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน
มาตรา 17 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 16 ประธานกรรมการหรือ กรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่หรือหย่อนความสามารถ (4) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (5) ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร (6) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 15
มาตรา 18 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการ ของ ทอท. อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง (1) ออกข้อบังคับกำหนดรายละเอียดในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 4 (2) (2) ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา 5 และมาตรา 8 (3) ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและ คณะอนุกรรมการ (4) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ทอท. และออกข้อบังคับว่าด้วย การบริหารงานต่าง ๆ ของ ทอท. (5) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่นปฏิบัติงานแทนผู้ว่าการ (6) ออกข้อบังคับกำหนดตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้างและเงินอื่น ๆ ของพนักงานและ ลูกจ้าง (7) ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง (8) ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง (9) ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานและ ลูกจ้างและครอบครัว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (10) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายพาหนะ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าทำงานล่วงเวลา เบี้ยประชุม และการจ่ายเงินอื่น ๆ (11) ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
มาตรา 19 ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา 18 ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการใน การทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 20 ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการด้วย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี แต่อาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
มาตรา 21 ผู้ว่าการต้อง (1) มีความรู้ความสามารถในการบริหารธุรกิจการบินและการท่าอากาศยาน (2) ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ทอท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับ กิจการของ ทอท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม (3) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
มาตรา 22 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 20 วรรคสองผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) คณะกรรมการให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือ หย่อนความสามารถ (4) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (5) ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร (6) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 21 มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม (3) ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อย กว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง นอกจากผู้ว่าการ และต้องได้รับ ความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มาตรา 23 ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ ทอท. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจ หน้าที่ของ ทอท. และตามนโยบาย ข้อบังคับและระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดกับมีอำนาจ บังคับบัญชาพนักงานและลูกจ้างทุกตำแหน่ง ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ ทอท.
มาตรา 24 ผู้ว่าการมีอำนาจ (1) บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้างลงโทษทางวินัยพนักงานและ ลูกจ้าง ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการ กำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่ายหรือผู้ดำรงตำแหน่ง เทียบเท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน (2) กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง และออกระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติ งานของ ทอท. โดยไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 25 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ ทอท. และเพื่อการนี้ ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับ ที่คณะกรรมการกำหนด นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา 19 ย่อมไม่ผูกพัน ทอท. เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน
มาตรา 26 ในกรณีที่ผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงและยังมิได้ แต่งตั้งผู้ว่าการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการเว้นแต่อำนาจหน้าที่ของ ผู้ว่าการในฐานะกรรมการ
มาตรา 27 ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรี กำหนด
มาตรา 28 ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างอาจได้รับเงินรางวัล ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 29 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ประธานกรรมการ กรรมการและพนักงาน เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และให้เจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับ ความผิดที่เกิดขึ้นในเขตท่าอากาศยาน
มาตรา 30 เพื่อประโยชน์ในการสร้างหรือบำรุงรักษาท่าอากาศยานให้ ทอท. มีอำนาจ มอบหมายให้พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานเข้าใช้สอยหรือเข้าครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ซึ่งมิใช้ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้ (1) การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้างหรือ บำรุงรักษาท่าอากาศยาน หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่จะ เกิดแก่ท่าอากาศยาน (2) ทอท. ได้บอกกล่าวโดยแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทราบ ภายในเวลาอันสมควร แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามวัน ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือผู้ครอบครอง อสังหาริมทรัพย์ได้ ให้ประกาศให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อย กว่าสามสิบวัน การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขต หรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ ให้แจ้งกำหนดระยะเวลาทำการและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย ในการปฏิบัติตามมาตรานี้ พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิด ความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น บุคคลนั้นมีสิทธิเรียก ค่าทดแทนจาก ทอท. ได้และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทน ให้มอบข้อพิพาทให้ อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย และให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 31 ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วนเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่เกิดแก่ ท่าอากาศยาน อากาศยาน หรือผู้ใช้บริการและความสะดวกต่าง ๆ ของ ทอท. พนักงานและผู้ ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานอาจเข้าไปในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใด ๆ เพื่อปฏิบัติการป้องกัน ได้แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ก็ให้พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงาน แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทราบก่อน
มาตรา 32 เมื่อ ทอท. มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อจัดสร้างท่าอากาศยาน เมื่อมิได้ตกลงในเรื่องการโอนไว้เป็นอย่างอื่น ให้ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืน อสังหาริมทรัพย์
มาตรา 33 พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 34 ให้ ทอท. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของ พนักงานและลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุเจ็บป่วย ตาย หรือกรณี อื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่งการออกเงินสมทบเข้า กองทุนสงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ การจ่ายเงินสงเคราะห์ และการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 35 ทอท. ต้องจัดทำงบประมาณประจำปี โดยให้แยกเป็นงบลงทุนและงบทำการ สำหรับงบลงทุนนั้นให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้น ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
มาตรา 36 รายได้ที่ ทอท. ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ ทอท. สำหรับ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานค่าภาระต่าง ๆ ที่ เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินสำรองตามมาตรา 11 และเงินสมทบกองทุน สงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นตามมาตรา 34 และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง นอกจากเงินสำรองตามมาตรา 11 และ ทอท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ ทอท. เท่าจำนวนที่จำเป็น
มาตรา 37 ทอท. ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารอื่นตาม ระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด
มาตรา 38 ทอท. ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการแยกตามประเภท งานส่วนที่สำคัญ มีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงกิจการที่เป็นอยู่ ตามความเป็นจริงและตามที่ควร สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงกิจการที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตาม ที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มาของรายการนั้น ๆ และให้มีการตรวจสอบ บัญชีภายในเป็นประจำ
มาตรา 39 ทอท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนส่งผู้สอบบัญชีภายในหนึ่ง ร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี
มาตรา 40 ทุกปีให้สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีทำการตรวจสอบ รับรองบัญชีและการเงินทุกประเภทของ ทอท.
มาตรา 41 ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรพสมุด บัญชีและเอกสารหลักฐานของ ทอท. เพื่อ การนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการกรรมการ ผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของ ทอท.
มาตรา 42 ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อคณะกรรมการภายใน หนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีเพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี
มาตรา 43 ให้คณะกรรมการทำรายงานปีละครั้งเสนอรัฐมนตรีรายงานนี้ให้กล่าวถึงผลงานของ ทอท. ในปีที่ล่วงมาแล้ว พร้อมทั้งคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของคณะกรรมการโครงการและแผนงานที่ จะจัดทำในภายหน้า ให้ ทอท. โฆษณารายงานประจำปีที่สิ้นไป โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการและบัญชีกำไรขาดทุนที่ ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้องแล้ว รวมทั้งรายงานสรุปผลงานในปีที่ล่วงมา ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชีของ ทอท.
มาตรา 44 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ทอท. เพื่อการนี้จะสั่งให้ ทอท. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของ ทอท. ที่ขัดต่อ นโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบายของรัฐบาล หรือมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการได้
มาตรา 45 ในกรณีที่ ทอท. จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ ไปยังคณะรัฐมนตรี ให้ ทอท. นำเรื่อง เสนอรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี
มาตรา 46 ทอท. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการดังต่อไปนี้ได้ (1) ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกินสิบล้านบาท (2) การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละสิบล้านบาท (3) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน (4) จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท (5) จำหน่ายทรัพย์สินอันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ (6) ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ ทอท.
มาตรา 47 ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ทอท. หรือพนักงานหรือลูกจ้างซึ่งกระทำการตาม มาตรา 30 หรือมาตรา 31 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 48 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงซึ่งออกตามมาตรา 4 (2) หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของคณะกรรมการซึ่งออกตามกฎกระทรวงดังกล่าว ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ห้าสิบบาทถึงสองพันบาท ความผิดตามมาตรานี้ ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้แต่ถ้าผู้นั้นไม่ยอมให้ เปรียบเทียบปรับ เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องนำตัวผู้ถูกจับส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจโดยทันที ซึ่งต้องไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่ได้จับกุม
มาตรา 49 ในระยะเริ่มแรกให้ ทอท. มีอำนาจดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสนามบิน ดอนเมืองของกองทัพอากาศ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนดใน ราชกิจจานุเบกษากิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศไม่ต้องใช้อีกต่อไปให้ดำเนินการโอน ตามมาตรา 50 ส่วนกิจการและทรัพย์สินส่วนใดที่กองทัพอากาศจะสงวนไว้ใช้หรือต้องใช้ร่วมกับ ทอท. ก็ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าเป็นที่ราชพัสดุให้ดำเนิน การตามมาตรา 51
มาตรา 50 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมืองของกรมการบิน พลเรือนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 51 บรรดาที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของกองทัพอากาศ อันเกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ให้กองทัพอากาศมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ การใช้ ที่ราชพัสดุ การปลูกสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างในที่ราชพัสดุ ตลอดจนการเรียกค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ และการดำเนินการเกี่ยวกับค่าตอบแทนดังกล่าว ให้เป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงการคลังและกองทัพอากาศร่วมกันกำหนด ค่าตอบแทนที่เหลือ จากการใช้จ่ายเพื่อบำรุงรักษาที่ราชพัสดุนั้น ให้นำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
มาตรา 52 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกรมการบินพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม ในส่วนที่เกี่ยวกับสนามบินดอนเมือง ตามที่รัฐมนตรีกำหนดไปเป็นของ ทอท. ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 53 ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดของกองทัพอากาศ กองบัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม และของกรมการบินพาณิชย์กระทรวงคมนาคม ซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับกิจการที่ โอนไปตามมาตรา 50 หรือมาตรา 52 แล้วแต่กรณี ถ้าสมัครใจจะโอนไปปฏิบัติงานกับ ทอท. และได้แจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนเงินเดือนภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้โอนข้าราชการหรือลูกจ้างผู้นั้นไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้าง ของ ทอท. แต่ทั้งนี้ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดและ ทอท. จะได้ตกลงกัน ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่โอนไปเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี ได้รับ เงินเดือนหรือค่าจ้าง รวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่ากับที่เคยได้รับอยู่เดิมไปพลางก่อน จนกว่าผู้ว่าการจะได้บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง แต่จะแต่งตั้งให้ได้รับเงินเดือนหรือ ค่าจ้างต่ำกว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างที่ได้รับอยู่เดิมไม่ได้
มาตรา 54 การโอนข้าราชการตามมาตรา 53 ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะ เลิกหรือยุบตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ การโอนลูกจ้างตามมาตรา 53 ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงานเพราะทางราชการยุบตำแหน่ง หรือทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดและให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้าง เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาการทำงานสำหรับคำนวณบำเหน็จหรือบำนาญตามข้อบังคับของ ทอท. (ถ้ามี) ข้าราชการหรือลูกจ้างผู้ใดที่โอนไปตามมาตรา 53 ประสงค์จะให้นับเวลาราชการหรือเวลา ทำงานในขณะที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างก่อนที่มีการโอนเป็นเวลาการทำงานของพนักงานหรือ ลูกจ้างของ ทอท. แล้วแต่กรณี ก็ให้มีสิทธิกระทำได้โดยการบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญ การบอกเลิกรับบำเหน็จบำนาญตามวรรคสาม จะต้องกระทำภายในสามสิบวันนับแต่วันที่โอน สำหรับกรณีของข้าราชการ ให้ดำเนินการบอกเลิกตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำหรับกรณีของลูกจ้างให้ดำเนินการบอกเลิกโดยกระทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานยื่น ต่อผู้ว่าจ้างเพื่อส่งต่อไปให้กระทรวงการคลังทราบ
มาตรา 55 ถ้าต่อไป ทอท. ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินกิจการในสนามบินหรือที่ขึ้นลงชั่วคราว ของอากาศยานของส่วนราชการใดเพิ่มขึ้นให้ส่วนราชการนั้นยินยอมให้ ทอท. เข้าดำเนินการและ ต้องส่งมอบกิจการให้แก่ ทอท. ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และถ้ามีกรณีที่จะต้องใช้ ทรัพย์สินอันเป็นที่ราชพัสดุและอยู่ในความปกครองดูแลและใช้ประโยชน์ของส่วนราชการนั้นด้วย ก็ให้ ส่วนราชการนั้นมีอำนาจอนุญาตให้ ทอท. ใช้ประโยชน์ได้ และให้นำมาตรา 51 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส. โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้คือ เนื่องจากการประกอบกิจการ ท่าอากาศยานเป็นกิจการด้านสาธารณูปโภคที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ แต่การดำเนินงานในด้านนี้ขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งแยกกันอยู่ ทำให้ขาดความคล่องตัว สมควรจัดตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้น เพื่อให้การดำเนินกิจการท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงจำเป็น ต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น (ร.จ. เล่ม 96 ตอนที่ 29 หน้า 1 วันที่ 2 มีนาคม 2522) |