พระราชบัญญัติ
                       การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
                              พ.ศ. 2521
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2521
                        เป็นปีที่ 33 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรจัดตั้งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

   มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
   "ปิโตรเลียม" หมายความว่า ปิโตรเลียมตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและให้หมายความรวมถึง
น้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายว่าด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
   "ธุรกิจปิโตรเลียม" หมายความว่า การสำรวจ พัฒนา ผลิต จัดหา กลั่น สะสม สำรอง เก็บรักษา
นำเข้า ส่งออก ขนส่ง ซื้อ ขาย และจำหน่ายปิโตรเลียม ตลอดจนประกอบอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
   "คณะกรรมการ" หมายความว่า คณะกรรมการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
   "กรรมการ" หมายความว่า กรรมการในคณะกรรมการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
   "ผู้ว่าการ" หมายความว่า ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
   "พนักงาน" หมายความว่า พนักงานของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย รวมทั้งผู้ว่าการ
   "ลูกจ้าง" หมายความว่า ลูกจ้างของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
   "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรักษา
การตามพระราชบัญญัตินี้เป็นเวลาสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ หลังจากนั้นให้รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงอุตสาหกรรมรักษาการตามพระราชบัญญัติ

   มาตรา 5 ให้จัดตั้งการปิโตรเลียมขึ้นเรียกว่า "การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย" เรียกโดยย่อว่า
"ปตท." และให้เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมธุรกิจปิโตรเลียม รวมถึง
การดำเนินธุรกิจอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับการประกอบธุรกิจปิโตรเลียมเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดแก่
เศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน

   มาตรา 6 ปตท. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และจะตั้งสำนักงานสาขาหรือตัวแทนขึ้น
ที่อื่นใดในและนอกราชอาณาจักรก็ได้แต่การตั้งสำนักงานสาขานอกราชอาณาจักร ต้องได้รับอนุญาตจาก
รัฐมนตรีก่อน

   มาตรา 7 ให้ ปตท. มีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา
5 และอำนาจเช่นว่านี้ให้รวมถึง
   (1) ถือกรรมสิทธิ์ หรือมีสิทธิครอบครองหรือมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ สร้าง ซื้อ จัดหา ขาย จำหน่าย
เช่า ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ยืม ให้ยืม รับจำนำ รับจำนอง แลกเปลี่ยน โอน รับโอน หรือดำเนิน
การใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ตลอดจนรับทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
   (2) จัดหา สำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียม
   (3) สำรวจ วางแผน ออกแบบ และสร้างท่าเรือเพื่อธุรกิจปิโตรเลียม คลังปิโตรเลียม ระบบ
การขนส่งปิโตรเลียม โรงกลั่นปิโตรเลียมและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
   (4) ดำเนินการขนส่งปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมภายในประเทศและระหว่างประเทศ
   (5) จัดสร้างคลังสำหรับการสะสมและสำรองปิโตรเลียม
   (6) กำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยในการขนส่งและใช้ปิโตรเลียม
   (7) กำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขสภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษเนื่องจากปิโตรเลียมภายในกิจการของ
ปตท.
   (8) กู้หรือยืมเงินภายในและภายนอกราชอาณาจักร
   (9) ให้กู้หรือให้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ ปตท.
  (10) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
  (11) จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประกอบธุรกิจปิโตรเลียม
  (12) เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่น หรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดเพื่อประโยชน์แก่
กิจการของ ปตท.
  (13) ว่าจ้างหรือรับจ้างประกอบธุรกิจปิโตรเลียม
  (14) ตั้งหรือรับเป็นตัวแทน ตัวแทนค้าต่าง และนายหน้าในกิจการตามวัตถุประสงค์ของ ปตท.
  (15) ทำการค้าและให้บริการต่าง ๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องใช้เกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียม
  (16) กระทำการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ ปตท.

   มาตรา 8 ปตท. มีอำนาจสำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียมตามที่ได้รับอนุมัติหรือมอบหมายจาก
คณะรัฐมนตรี ให้ดำเนินการในเขตพื้นที่และระยะเวลาที่กำหนด ในการนี้ให้ ปตท. มีสิทธิ ประโยชน์
และหน้าที่เสมือนเป็นผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
   การอนุมัติหรือมอบหมายให้ ปตท. ดำเนินการตามวรรคหนึ่ง จะต้องไม่เป็นการกระทบกระเทือน
สัมปทานปิโตรเลียมที่ได้ออกให้แก่บุคคลใดไปก่อนแล้ว

   มาตรา 9 ทุนของ ปตท. ประกอบด้วย
   (1) เงินและทรัพย์สินที่โอนมาตามมาตรา 59 มาตรา 61 และ มาตรา 62 เมื่อได้หักหนี้สินออก
แล้ว
   (2) เงินที่รัฐบาลจัดสรรเพิ่มเติมให้เป็นคราว ๆ เพื่อดำเนินงานหรือขยายกิจการ
   (3) เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้

   มาตรา 10 เงินสำรองของ ปตท. ให้ประกอบด้วยเงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงิน
สำรองเพื่อขยายกิจการ เงินสำรองเพื่อการไถ่ถอนหนี้ และเงินสำรองอื่น ๆ ตามความประสงค์
แต่ละอย่างโดยเฉพาะตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
   เงินสำรองจะนำออกใช้ได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ

   มาตรา 11 ทรัพย์สินของ ปตท. ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี

   มาตรา12 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย"
ประกอบด้วยประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวงกลาโหมหนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงการคลังหนึ่งคน ผู้แทน
กระทรวงพาณิชย์หนึ่งคน ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรมหนึ่งคน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาหนึ่ง
คน กรรมการอื่นอีกไม่เกินห้าคนและผู้ว่าการเป็นกรรมการ
   ให้ผู้ว่าการเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
   ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่น

   มาตรา 13 เพื่อประโยชน์แห่งกิจการของ ปตท. ให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ
เพื่อดำเนินกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดของ ปตท. แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ

   มาตรา 14 ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ต้อง
   (1) มีสัญชาติไทย
   (2) มีอายุไม่เกินหกสิบห้าปี
   (3) ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
   (4) ไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้
กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
   (5) ไม่เป็นข้าราชการการเมืองหรือดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ
   (7) ไม่เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
   (8) ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ ปตท. หรือในกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับกิจการ
ของ ปตท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม

   มาตรา 15 ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปี
   ในกรณีที่ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระหรือใน
กรณีที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้วยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง
ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนหรือเป็นกรรมการเพิ่มขึ้น อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่
ของประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
   เมื่อครบกำหนดตามวาระดังกล่าวในวรรคหนึ่ง หากยังมิได้มีการแต่งตั้งประธานกรรมการหรือ
กรรมการขึ้นใหม่ ให้ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้น อยู่ในตำแหน่งเพื่อ
ดำเนินงานต่อไปจนกว่าประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่เข้ารับหน้าที่
   ประธานกรรมการหรือกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกิน
สองวาระติดต่อกัน

   มาตรา 16 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตามมาตรา 15 ประธานกรรมการหรือกรรมการ
ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
   (1) ตาย
   (2) ลาออก
   (3) คณะรัฐมนตรีให้ออก เพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย
   (4) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
   (5) ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสามครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
   (6) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 14

   มาตรา 17 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการ
ของ ปตท. อำนาจหน้าที่เช่นว่านี้ให้รวมถึง
   (1) ออกข้อบังคับหรือระเบียบเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรา 5 และมาตรา 7
   (2) ออกข้อบังคับว่าด้วยการประชุม และการดำเนินกิจการของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ
   (3) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจัดแบ่งส่วนงานของ ปตท. และออกข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงาน
ต่าง ๆ ของ ปตท.
   (4) ออกข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติงานของผู้ว่าการ และการมอบให้ผู้อื่นปฏิบัติงานแทนผู้ว่าการ
   (5) กำหนดจำนวนตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่น ๆ ของพนักงานและลูกจ้าง
   (6) ออกข้อบังคับว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้าง การถอดถอน
ระเบียบวินัย การลงโทษ และการอุทธรณ์การลงโทษพนักงานและลูกจ้าง
   (7) ออกระเบียบว่าด้วยการร้องทุกข์ของพนักงานและลูกจ้าง
   (8) ออกข้อบังคับว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงานและ
ลูกจ้างและครอบครัว โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
   (9) ออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายค่าพาหนะ เบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าเช่าที่พัก ค่าทำงานล่วงเวลา
เบี้ยประชุม และการจ่ายเงินอื่น ๆ
  (10) ออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแบบพนักงานและลูกจ้าง
  (11) กำหนดราคาขายปิโตรเลียมและอัตราค่าบริการ ตลอดจนวิธีการชำระราคาและค่าบริการ
  (12) ออกระเบียบว่าด้วยความปลอดภัยในการใช้และรักษาทรัพย์สินของ ปตท.
  (13) ออกระเบียบว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขสภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
เนื่องจากปิโตรเลียม

   มาตรา 18 ในข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา 17 ถ้ามีข้อความจำกัดอำนาจของผู้ว่าการใน
การทำนิติกรรมไว้ประการใด ให้รัฐมนตรีประกาศข้อความเช่นว่านั้นในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 19 ให้คณะกรรมการเป็นผู้แต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้ว่าการด้วยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรี
   ผู้ว่าการมีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ แต่งไม่เกินสองวาระติดต่อกัน

   มาตรา 20 ผู้ว่าการต้อง
   (1) มีอายุไม่เกินหกสิบปี
   (2) มีความรู้ความสามารถเจนจัดในการบริหารธุรกิจ
   (3) สามารถทำงานให้แก่ ปตท. ได้เต็มเวลา
   (4) ไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ รวมทั้งข้าราชการการเมือง ลูกจ้างของ
กระทรวงทบวงกรม เพนักงานหรือลูกจ้างส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกรุงเทพมหานคร หรือดำรงตำแหน่งใน
ทางการเมืองรวมทั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
   (5) มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 14 (1) (3) (4) (5) (7) และ (8)

   มาตรา 21 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 19 วรรคสอง ผู้ว่าการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
   (1) ตาย
   (2) ลาออก
   (3)คณะกรรมการให้ออก เพราะบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือ
หย่อนความสามารถ
   (4) เป็นคนไร้ความสมมารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
   (5) ขาดการประชุมคณะกรรมการเกินสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร
   (6) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 20
   มติของคณะกรรมการให้ผู้ว่าการออกจากตำแหน่งตาม (3) ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่
น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่อยู่ในตำแหน่ง นอกจากผู้ว่าการ และต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากรัฐมนตรี

   มาตรา 22 ผู้ว่าการมีหน้าที่บริหารกิจการของ ปตท. ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่
ของปตท. และตามนโยบาย ข้อบังคับและระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด กับมีอำนาจบังคับบัญชีพนักงาน
และลูกจ้างทุกตำแหน่ง
   ผู้ว่าการต้องรับผิดชอบต่อคณะกรรมการในการบริหารกิจการของ ปตท.

   มาตรา 23 ผู้ว่าการมีอำนาจ
   (1) บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัยพนักงานและ
ลูกจ้าง ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่ง ตามข้อบังคับหรือระเบียบที่คณะกรรมการ
กำหนดแต่ถ้าเป็นพนังกานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่ายหรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบ
เท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน
   (2) กำหนดเงื่อนไขในการทำงานของพนักงานและลูกจ้าง และออกระเบียบว่าด้วยการปฏิบัติงาน
ของปตท. โดยไม่ขัดหรือแย้งกับข้อบังคับหรือระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

   มาตรา 24 ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก ให้ผู้ว่าการเป็นผู้แทนของ ปตท. และเพื่อ
การนี้ ผู้ว่าการจะมอบอำนาจให้บุคคลใด ๆ ปฏิบัติงานเฉพาะอย่างแทนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตาม
ข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด
   นิติกรรมที่ผู้ว่าการกระทำโดยฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบตามมาตรา 18 ย่อมไม่ผูกพัน ปตท.
เว้นแต่คณะกรรมการจะให้สัตยาบัน

   มาตรา 25 ในกรณีผู้ว่าการไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือตำแหน่งผู้ว่าการว่างลงและยังมิได้
แต่งตั้งผู้ว่าการ ให้คณะกรรมการแต่งตั้งพนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการแทนผู้ว่าการ
   ให้ผู้รักษาการแทนผู้ว่าการมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกันกับผู้ว่าการเว้นแต่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการ
ในฐานะกรรมการ

   มาตรา 26 ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับประโยชน์ตอบแทนตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรี
กำหนด

   มาตรา 27 ประธานกรรมการ กรรมการ ผู้ว่าการ พนักงาน และลูกจ้างอาจได้รับเงินรางวัล
ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

   มาตรา 28 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ประธานกรรมการ ผู้ว่าการ และพนักงาน
เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

   มาตรา 29 เพื่อประโยชน์ในการสร้างและบำรุงรักษาระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ให้
พนักงานและผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานมีอำนาจที่จะใช้สอยหรือเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง
มิใช่ที่อยู่อาศัยของบุคคลใด ๆ เป็นการชั่วคราวภายใต้เงื่อนไขดังต่อไปนี้
   (1) การใช้สอยหรือเข้าครอบครองนั้นเป็นการจำเป็นสำหรับการสำรวจเพื่อสร้างหรือบำรุงรักษา
ระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ หรือเป็นการจำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่
จะเกิดแก่ระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ
   (2) ปตท. ได้บอกกล่าวให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทราบล่วงหน้าแล้ว โดย
แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร แต่ต้องไม่น้อย
กว่าสามวัน ถ้าไม่อาจติดต่อกับเจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ได้ให้ประกาศให้เจ้าของ หรือ
ผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน การประกาศให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้
ณ ที่ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ และ ณ ที่ทำการเขตหรืออำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ ให้แจ้งกำหนดวันเวลาและการที่จะกระทำนั้นไว้ด้วย
   ในการปฏิบัติตามมาตรานี้ พนักงานต้องแสดงบัตรประจำตัวต่อบุคคลซึ่งเกี่ยวข้อง
   ในกรณีที่การปฏิบัติของพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานตามมาตรานี้ก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์หรือผู้ทรงสิทธิอื่น บุคคลนั้นย่อมเรียกค่าทดแทนจาก
ปตท. ได้และถ้าไม่สามารถตกลงกันในจำนวนค่าทดแทนให้มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย และ
ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 30 ในการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ให้ปตท. มีอำนาจ
   (1) กำหนดเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อตามความจำเป็นโดยได้รับความเห็นชอบ
จากรัฐมนตรี
   (2) วางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่าไปใต้ เหนือ ตาม หรือ ข้ามที่ดินของบุคคลใด ๆ
   (3 รื้อถอนอาคาร โรงเรือนหรือทำลายสิ่งอื่นที่สร้างหรือทำขึ้นหรือทำลาย หรือตัดฟันต้น กิ่ง
หรือรากของต้นไม้ หรือพืชผลในเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ
   ในการดำเนินการตาม (1) ให้รัฐมนตรีประกาศเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อและ
เครื่องหมายแสดงเขตในราชกิจจานุเบกษาและให้ ปตท. ปิดประกาศเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียม
ทางท่อไว้ ณ ที่ทำการเขตหรืออำเภอแห่งท้องที่นั้น กับให้จัดทำเครื่องหมายแสดงไว้ในบริเวณดังกล่าว
ตามระเบียบที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
   ก่อนที่จะดำเนินการตาม (2) หรือ (3) ให้ปตท. แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองทรัพย์สินที่เกี่ยวจ้องทราบ และให้นำมาตรา 29 วรรคหนึ่ง (2) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
แต่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอาจยื่นคำร้องแสดงเหตุที่ไม่สมควรทำเช่นนั้นไปยังคณะกรรมการ
เพื่อวินิจฉัยภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

   มาตรา 31 ให้ ปตท. จ่ายค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของหรือผู้ทรงสิทธิในที่ดิน อาคาร
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง ในกรณีดังต่อไปนี้
   (1) การใช้ที่ดินที่ประกาศกำหนดเป็นเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อตามมาตรา 30 (1)
   (2) การใช้ที่ดินวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อตามมาตรา 30(2)
   (3) การกระทำตามมาตรา 30(3)
   ในกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ในจำนวนค่าทดแทน ให้นำมาตรา 29 วรรคสาม มาใช้บังคับโดย
อนุโลม
   ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ทรงสิทธิในที่ดิน อาคาร โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างได้รับค่าทดแทนหรือ
ได้แจ้งเป็นหนังสือไม่รับค่าทดแทนดังกล่าวแล้ว ต่อไปภายหน้าจะเรียกร้องค่าทดแทนเนื่องจากเหตุ
นั้นอีกมิได้

   มาตรา 32 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันอาจเป็นอันตรายต่อหลุมสำรวจหรือหลุม
ผลิตปิโตรเลียม แท่นผลิตปิโตรเลียม โรงกลั่นปิโตรเลียม คลังปิโตรเลียมหรือระบบการขนส่ง
ปิโตรเลียมทางท่อรวมทั้งอุปกรณ์ของสิ่งดังกล่าวนั้น

   มาตรา 33 ในเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อไม่ว่าบนบกหรือในน้ำ หรือใต้พื้นท้องน้ำ
หรือพื้นท้องทะเล ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคาร โรงเรือน ต้นไม้ หรือสิ่งอื่นใด ติดตั้งสิ่งใด เจาะหรือ
ขุดพื้นดินถมดิน ทิ้งสิ่งของ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายหรือเป็นอุปสรรคแก่
ระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ เว้นแต่จะได้รับเงื่อนไขอย่างใดด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้ามีการฝ่าฝืนให้
ปตท. มีอำนาจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนรื้อถอน ขนย้าย ตัดฟัน ทำลาย หรือกระทำการใด ๆ ได้ภายในระยะเวลา
ที่กำหนด ถ้าผู้นั้นไม่ปฏิบัติตาม หรือในกรณีที่หาตัวผู้ฝ่าฝืนไม่ได้ เมื่อได้ประกาศคำสั่งไว้ ณ บริเวณนั้น
และณ ที่ทำการเขตหรืออำเภอ ที่ทำการกำนันและที่ทำการผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่นั้นเป็นเวลาอันสมควร
แล้ว และไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ให้ปตท. มีอำนาจรื้อถอน ขนย้าย ตัดฟัน ทำลาย หรือกระทำการ
ใด ๆ ได้ตามควรแก่กรณีโดยผู้ใดจะเรียกร้องค่าเสียหายมิได้และผู้ฝ่าฝืนต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายใน
การนั้นด้วย

   มาตรา 34 ในกรณีมีการประกาศกำหนดเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อของ ปตท. ใน
แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล หรือทางสัญจรทางน้ำแห่งใด ไม่ว่าจะอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ ห้ามมิให้
ผู้ใดทอดสมอเรือหรือเกาสมอ หรือลากแห อวน หรือเครื่องจับสัตว์น้ำอย่างใด ๆ ในเขตเหล่านั้น
   เมื่อเรือใดแล่นข้ามระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ถ้ามิได้ชักสมอขึ้นพ้นจากน้ำจนแลเห็นได้
ให้ถือว่าการกระทำนั้นมีผลเป็นการเกาสมอแล้ว

   มาตรา 35 เพื่อประโยชน์แห่งความปลอดภัย ให้ ปตท. มีอำนาจทำลายหรือตัดฟัดต้น กิ่ง ราก
ของต้นไม้ หรือสิ่งอื่นใดที่อยู่ใกล้เขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ แต่ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้
เจ้าของหรือครอบครองต้นไม้หรือสิ่งนั้นทราบล่วงหน้าภายในเวลาอันสมควร ถ้าไม่อาจติดต่อกับ
เจ้าของหรือผู้ครอบครองได้ ให้ ปตท. มีอำนาจดำเนินการได้ตามที่เห็นสมควร
   ในกรณีที่ต้นไม้หรือสิ่งอื่นใดนั้นมีอยู่ก่อนการสร้างระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ให้ ปตท.
จ่ายค่าทดแทนอันเป็นธรรมให้แก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองต้นไม้หรือสิ่งนั้น ตามสมควรแก่กรณี

   มาตรา 36 ในกรณีที่จำเป็นแลเร่งด่วน พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงานมีอำนาจเข้าไป
ในที่ดินหรือสถานที่ของบุคคลใดในเวลาใดเพื่อตรวจ ซ่อมแซม หรือแก้ไขระบบการขนส่งปิโตรเลียม
ทางท่อได้ แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ก็ให้พนักงานแจ้งให้เจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองทราบก่อน

   มาตรา 37 ในการกระทำกิจการตามมาตรา 35 หรือมาตรา 36 พนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วม
กับพนักงานต้องพยายามมิให้เกิดความเสียหาย แต่ถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ปตท. ต้องรับผิดเพื่อ
ความเสียหายนั้นและให้นำมาตรา 24 วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 38 เมื่อ ปตท. มีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่ง
ปิโตรเลียม เพื่อจัดสร้างคลังปิโตรเลียมหรือเพื่อใช้ในการวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ให้
ดำเนินการเวนคืนตามกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์

   มาตรา 39 พนักงานและลูกจ้างมีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด

   มาตรา 40 ให้ ปตท. จัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของพนักงาน
และลูกจ้างและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง ประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ตาย หรือกรณีอื่นอันควร
แก่การสงเคราะห์
   การจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นตามวรรคหนึ่งการออกเงินสมทบเข้ากองทุน
สงเคราะห์ การกำหนดประเภทของผู้ซึ่งพึงได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนสงเคราะห์ การจ่าย
เงินสงเคราะห์ และการจัดการกองทุนสงเคราะห์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด

   มาตรา 41 ปตท. ต้องทำงบประมาณประจำปี โดยให้แยกเป็นงบลงทุน และงบทำการ สำหรับ
งบลงทุนนั้น ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ ส่วนงบทำการนั้นให้นำ
เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ

   มาตรา 42 รายได้ที่ ปตท. ได้รับจากการดำเนินงานในปีหนึ่ง ๆ ให้ตกเป็นของ ปตท. สำหรับ
เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงาน ค่าภาระต่าง ๆ ที่
เหมาะสม เช่นค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา เงินสำรอง ตามมาตรา 10 และเงินสมทบกองทุน
สงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่น ตามมาตรา 40 และเงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบจาก
คณะรัฐมนตรีแล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ
   ถ้ารายได้มีไม่เพียงพอสำหรับรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง นอกจากเงินสำรองตามมาตรา 10 และ
ปตท. ไม่สามารถหาเงินจากทางอื่นได้รัฐบาลพึงจ่ายเงินให้แก่ ปตท. เท่าจำนวนที่จำเป็น

   มาตรา 43 ปตท. ต้องเปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารอื่นตามระเบียบ
ที่กระทรวงการคลังกำหนด

   มาตรา 44 ปตท. ต้องวางและถือไว้ซึ่งระบบการบัญชีที่เหมาะสมแก่กิจการแยกตามประเภท
งานส่วนที่สำคัญมีสมุดบัญชีลงรายการรับและจ่ายเงิน สินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงกิจการที่เป็นอยู่
ตามความจริงและตามที่ควร ตามประเภทงาน พร้อมด้วยข้อความอันเป็นที่มาของรายการนั้น ๆ
และให้มีการตรวจสอบบัญชีภายในเป็นประจำ

   มาตรา 45 ปตท. ต้องจัดทำงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ส่งผู้สอบบัญชีภายในหนึ่ง
ร้อยยี่สิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชี

   มาตรา 46 ทุกปีให้นำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีทำการ ตรวจสอบรับรอง
บัญชีและการเงินทุกประเภทของปตท.

   มาตรา 47 ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจสอบสรรถสมุด บัญชี และเอกสารหลักฐานของ ปตท. เพื่อ
การนี้ให้มีอำนาจสอบถามประธานกรรมการ กรรมการผู้ว่าการ พนักงานและลูกจ้างของ ปตท.

   มาตรา 48 ผู้สอบบัญชีต้องทำรายงานผลการสอบบัญชีและการเงินเสนอต่อคณะกรรมการภายใน
หนึ่งร้อยหกสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีเพื่อคณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรี

   มาตรา 49 ทุกปี ให้ ปตท. จัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อรัฐมนตรี โดยแสดงงบดุล บัญชีทำการ
และบัญชีกำไรขาดทุนที่ผู้สอบบัญชีรับรองว่าถูกต้อง พร้อมกับรายงานของผู้สอบบัญชี รวมทั้งแสดงผลงาน
ของ ปตท. ในปีที่ล่วงมาด้วย

   มาตรา 50 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ ปตท. เพื่อการนี้จะสั่งให้
ปตท. ชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของ ปตท. ที่ขัดต่อ
นโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรี ตลอดจนมีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติการตามนโยบาย
ของรัฐบาลและมติของคณะรัฐมนตรี และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกิจการได้

   มาตรา 51 ในกรณีที่ ปตท. จะต้องเสนอเรื่องใด ๆ ไปยังคณะรัฐมนตรี ให้ ปตท.นำเรื่องเสนอ
รัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อไปยังคณะรัฐมนตรี

   มาตรา 52 ปตท. ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนจึงจะดำเนินการดังต่อไปนี้ได้
   (1) ลงทุนเพื่อขยายโครงการเดิมหรือริเริ่มโครงการใหม่ซึ่งมีวงเงินเกินห้าสิบล้านบาท
   (2) การกู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงินมีจำนวนเกินคราวละยี่สิบล้านบาท
   (3) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน
   (4) จำหน่ายอสังหาริมทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาท
   (5) จำหน่ายทรัพย์อันมีราคาเกินหนึ่งล้านบาทจากบัญชีเป็นสูญ
   (6) จัดตั้งบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
   (7) เข้าร่วมกิจการกับบุคคลอื่นหรือถือหุ้นในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด

   มาตรา 53 ผู้ใดขัดขวางการกระทำของ ปตท. หรือพนักงานหรือผู้ซึ่งปฏิบัติงานร่วมกับพนักงาน
ซึ่งกระทำการตามมาตรา 29 มาตรา 30 มาตรา 33 มาตรา 35 หรือมาตรา 36 ต้องระวางโทษ
จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 54 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 32 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
   ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้หลุมสำรวจหรือหลุมผลิตปิโตรเลียมแทนผลิตปิโตรเลียม โรงกลั่น
ปิโตรเลียม คลังปิโตรเลียม ระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ หรืออุปกรณ์ของสิ่งดังกล่าวถูกทำลาย
เสียหายเสื่อมค่า หรือไร้ประโยชน์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้าน
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 55 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 33 หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 33
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 56 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 34 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
   ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อถูกทำลาย เสียหาย เสื่อมค่า
หรือไร้ประโยชน์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
   ในระหว่างการพิจารณาคดีการกระทำความผิดตามมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจกักเรือไว้ได้จนกว่า
จะมีการชำระค่าปรับตามคำพิพากษาของศาล

   มาตรา 57 ผู้ใดทำให้เครื่องหมายแสดงเขตระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อที่ ปตท. จัดทำ
ไว้เคลื่อนที่หรือทำให้เสียหายโดยประกานใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน
สามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 58 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 54 มาตรา 55 มาตรา 56 หรือมาตรา 57
เป็นเหตุให้ประชาชนขาดความสะดวกหรือน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ประชาชนผู้กระทำต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
   ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือ
ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
   ถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่
ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 59 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ตลอดจนงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่
เกี่ยวกับกรมการพลังงานทหารตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด และที่เกี่ยวกับโรงกลั่น
น้ำมันไปเป็นของ ปตท. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา แต่ต้องไม่
เกินสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   สิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงสิทธิในการใช้ที่ราชพัสดุของสำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงกลาโหม ด้วย ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินที่โอนไป

   มาตรา 60 ให้โอนบรรดาข้าราชการและลูกจ้างของกระทรวงกลาโหมที่อยู่ในสังกัดกรม
การพลังงานทหารและโรงกลั่นน้ำมัน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนด ไปเป็นของ
ปตท. ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา แต่ต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   เมื่อได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ข้าราชการและลูกจ้างซึ่งโอนไปตามวรรคหนึ่ง
มีฐานะเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของ ปตท. แล้วแต่กรณี ตั้งแต่วันที่กำหนดในประกาศนั้น โดยให้ได้รับ
เงินเดือนหรือค่าจ้างรวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ เท่าที่เคยได้รับอยู่เดิมจนกว่าผู้ว่าการจะได้
บรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
   การโอนข้าราชการตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากประจำการเพราะเลิกหรือยุบ
ตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
   การโอนลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นการให้ออกจากงานเพราะทางราชการยุบตำแหน่งหรือ
ทางราชการเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดและให้ได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย
บำเหน็จลูกจ้าง

   มาตรา 61 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างขององค์การ
เชื้อเพลิงไปเป็นของ ปตท. ในวันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนดใน
ราชกิจจานุเบกษาแต่ต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   เมื่อได้มีประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การเชื้อเพลิงเป็น
อันยกเลิก และให้นำความในมาตรา 60 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้ถือว่าพนักงานและ
ลูกจ้างซึ่งโอนไปนั้นมีเวลาการทำงานติดต่อกัน

  มาตรา 62 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ รวมทั้งพนักงานและลูกจ้างขององค์การ
ก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทยไปเป็นของ ปตท. ในวันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
ประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
   เมื่อได้มีประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งองค์การก๊าซธรรมชาติ
แห่งประเทศไทยเป็นอันยกเลิก และให้นำความในมาตรา 60 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้
ถือว่าพนักงานและลูกจ้างซึ่งโอนไปนั้นมีเวลาการทำงานติดต่อกัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ: - เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากการประกอบธุรกิจ
ปิโตรเลียมเป็นกิจการอุตสาหกรรมด้านสาธารณูปโภคประเภทหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจและ
ความมั่นคงของประเทศ แต่หน่วยปฏิบัติงานเกี่ยวกับการสำรวจ ผลิต ขนส่ง และจำหน่ายปิโตรเลียม
ที่เป็นของทางราชการยังมีขนาดไม่เหมาะสม โดยกระจัดกระจายขึ้นอยู่กับส่วนราชการและองค์การ
ของรัฐหลายแห่ง เป็นเหตุให้การประกอบธุรกิจปิโตรเลียมเป็นไปอย่างไม่มีรัฐวิสาหกิจขึ้นเพื่อ
ดำเนินธุรกิจปิโตรเลียม ตั้งแต่การสำรวจหาปิโตรเลียมไปจนถึงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและ
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนและความมั่นคงของ
ประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
(ร.จ. เล่ม 95 ตอนที่ 152 หน้า 1 วันที่ 28 สิงหาคม 2521)