พระราชบัญญัติ
              แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 9)
                              พ.ศ. 2521
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2521
                        เป็นปีที่ 33 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 22
หมวด 4 ว่าด้วยบริษัทจำกัด บางมาตราให้เหมาะสมกับกาลสมัย
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2521"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1096 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 1096 อันว่าบริษัทจำกัดนั้น คือ บริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่า ๆ
กันโดยมีผู้ถือหุ้นไม่ถึงหนึ่งร้อยคนรวมทั้งนิติบุคคล (ถ้ามี) และผู้ถือหุ้นดังกล่าวต่างรับผิดจำกัดเพียงไม่
เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ
   ในการนับจำนวนผู้ถือหุ้นตามวรรคหนึ่ง ถ้ามีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปถือหุ้นหุ้นเดียวร่วมกัน ให้นับเป็น
ผู้ถือหุ้นหนึ่งคน"

   มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา 1096 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
   "มาตรา 1096 ทวิ บริษัทใดซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีผู้ถือหุ้นไม่ถึงหนึ่งร้อยคน แต่ภายหลังมีผู้ถือหุ้น
ตั้งแต่หนึ่งร้อยคนขึ้นไป ต้องดำเนินการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วย
บริษัทมหาชนจำกัด หรือลดจำนวนผู้ถือหุ้นให้เหลือไม่ถึงจำนวนดังกล่าว ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่
บริษัทนั้นมีผู้ถือหุ้นเกินจำนวนดังกล่าว
   ในกรณีที่บริษัทไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งให้บริษัทปฏิบัติให้ถูกต้องตาม
วรรคหนึ่งภายในเวลาอันสมควร หรือร้องขอให้ศาลสั่งเลิกบริษัทก็ได้
   เมื่อมีการร้องขอให้ศาลสั่งตามวรรคสอง ศาลจะสั่งให้บริษัทปฏิบัติตามวรรคหนึ่งภายในเวลาที่
กำหนด แต่ไม่เกินหนึ่งปีแทนการสั่งเลิกบริษัทก็ได้
   ความในมาตรานี้มิให้นำมาใช้บังคับในกรณีที่จำนวนผู้ถือหุ้นได้เพิ่มขึ้นเพราะเหตุการรับมรดก"

   มาตรา 5 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1102 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้
ข้อความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 1102 ห้ามมิให้ชี้ชวนประชาชนให้ซื้อหุ้น"

   มาตรา 6 ให้ยกเลิกมาตรา 1103 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

   มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1222 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้
ข้อความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 1222 บรรดาหุ้นที่ออกใหม่นั้น ต้องเสนอให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายตามส่วนจำนวนหุ้นซึ่งเขา
ถืออยู่
   คำเสนอเช่นนี้ ต้องทำเป็นหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ถือหุ้นทุก ๆ คน ระบุจำนวนหุ้นให้ทราบว่าผู้นั้น
ชอบที่จะซื้อได้กี่หุ้น และให้กำหนดวันว่าจะพ้นวันนั้นไปมิได้มีคำสนองมาแล้วจะถือว่าเป็นอันไม่รับซื้อ
   เมื่อวันที่กำหนดล่วงไปแล้วก็ดี หรือผู้ถือหุ้นได้บอกมาว่าไม่รับซื้อหุ้นนั้นก็ดี กรรมการจะเอาหุ้นเช่นนั้น
ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นคนอื่นหรือจะรับซื้อไว้เองก็ได้"

   มาตรา 8 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1223 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้
ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 1223 หนังสือบอกกล่าวที่เสนอให้ผู้ถือหุ้นซื้อหุ้นใหม่นั้น ต้องลงวันเดือนปีและลายมือชื่อ
ของกรรมการ"

   มาตรา 9 ให้ยกเลิกความในมาตรา 1229 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้
ใช้ความต่อไปนี้แทน
   "มาตรา 1229 บริษัทจะออกหุ้นกู้ไม่ได้"

   มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 11 ให้ยกเลิกมาตรา 1230 มาตรา 1231 มาตรา 1232
มาตรา 1233 มาตรา 1234 และมาตรา 1235 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

   มาตรา 11 การเสนอขายหุ้นและหุ้นกู้ต่อประชาชนที่ได้มีการจดทะเบียนหนังสือชี้ชวน หนังสือ
บอกกล่าวป่าวร้อง หรือหนังสืออย่างอื่นในการชี้ชวนให้ซื้อหุ้นหรือหุ้นกู้โดยถูกต้องตามกฎหมายใน
วันประกาศพระราชบัญญัตินี้ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้คงดำเนินการต่อไปได้อีกไม่เกินเก้าสิบวันนับ
แต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้นำมาตรา 1230 มาตรา 1231 มาตรา 1232 มาตรา
1233 มาตรา 1234 และมาตรา 1235 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้บังคับจนกว่า
จะพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว

   มาตรา 12  บริษัทใดจัดตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้
ใช้บังคับและมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่หนึ่งร้อยคนอยู่แล้ว หรือมีหุ้นเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งร้อยคนขึ้นไปภายหลังวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ยังคงเป็นบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ต่อไป

   มาตรา 13 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
นายกรัฐมนตรี
(ร.จ. เล่ม 95 ตอนที่ 149 หน้า 98 วันที่ 25 ธันวาคม 2521)