พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2521 |
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. ให้ไว้ ณ วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2521 เป็นปีที่ 33 ในรัชกาลปัจจุบัน |
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2521"
มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็น ต้นไป
มาตรา 3 ให้ยกเลิก (1) พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2508 (2) ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 177 ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2515 บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งชัด หรือแย้ง กับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งจัดตั้งโดยพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ. 2508 เป็นมหาวิทยาลัยขอนแก่นตามพระราชบัญญัตินี้ และคงมีสภาพเป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นกรม ในทบวงมหาวิทยาลัย
มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้ "มหาวิทยาลัย" หมายความว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น "สภามหาวิทยาลัย" หมายความว่า สภามหาวิทยาลัยขอนแก่น
มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 7 ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและวิจัย มีวัตถุประสงค์ให้การศึกษาส่งเสริมวิชาการ และวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอนทำการวิจัย ให้บริการทางวิชาการแก่สังคม และทะนุบำรุงศิลป วัฒนธรรม
มาตรา 8 มหาวิทยาลัยอาจแบ่งส่วนราชการดังนี้ (1) สำนักงานอธิการบดี (2) บัณฑิตวิทยาลัย (3) คณะ (4) วิทยาลัย และอาจให้มีสถาบันเพื่อการวิจัย สำนัก ศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อส่งเสริมวิชา การ เป็นส่วนราชการในมหาวิทยาลัยอีกก็ได้ สำนักงานอธิการบดีอาจแบ่งส่วนราชการเป็นกองและแผนกหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น คณะ และวิทยาลัย อาจแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชาและสำนักงานเลขานุการ บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน สำนัก และศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นอาจมีสำนักเลขานุการ เป็นส่วนราชการได้ กอง และสำนักงานเลขานุการ อาจแบ่งส่วนราชการเป็นแผนกหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่าง อื่น สำหรับส่วนงานธุรกิจของสำนักงานอธิการบดี บัณฑิตวิทยาลัย คณะ วิทยาลัย สถาบัน สำนักและ ศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นอาจแบ่งเป็นส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นก็ได้
มาตรา 9 การจัดตั้ง รวม และยุบเลิกบัณฑิตวิทยาลัย คณะวิทยาลัย สถาบัน สำนัก และศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา การแบ่งส่วนราชการเป็นภาควิชา กอง สำนักงานเลขานุการ และแผนกหรือส่วนราชการที่ เรียกชื่ออย่างอื่น ให้ทำเป็นประกาศทบวงมหาวิทยาลัย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 10 ภายใต้วัตถุประสงค์ตามมาตรา 7 มหาวิทยาลัยจะรับสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือ สถาบันวิจัยอื่นเข้าสมทบในมหาวิทยาลัยก็ได้และมีอำนาจให้ปริญญา อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตร ชั้นหนึ่งชั้นใดแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาชั้นสูงหรือสถาบันวิจัยนั้นได้ การรับเข้าสมทบหรือยกเลิกการสมทบซึ่งสถาบันวิจัยที่เข้าสมทบในมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตาม ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 11 นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดินมหาวิทยาลัยอาจมีรายได้ดังนี้ (1) เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย (2) ทรัพย์สินซึ่งมีผู้ให้แก่มหาวิทยาลัย รายได้ของมหาวิทยาลัย ไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธี การงบประมาณ
มาตรา 12 บรรดารายได้และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย จะต้องวัดการเพื่อประโยชน์ตาม วัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย
มาตรา 13 ให้มีสภามหาวิทยาลัย ประกอบด้วย (1) นายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง (2) กรรมการสภามหาวิทยาลัยโดยตำแหน่ง ได้แก่ อธิการบดีองค์อธิการบดี คณบดี และ ประธานกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย (3) กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจาก บุคคลภายนอกมหาวิทยาลัยมีจำนวนไม่น้อยกว่าเก้าคน แต่ไม่เกินสิบห้าคน ให้สภามหาวิทยาลัยเลือกกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่งเป็นอุปนายกสภามหา วิทยาลัยและให้อุปนายกสภามหาวิทยาลัยทำหน้าที่แทนนายกสภามหาวิทยาลัย เมื่อนายกสภา มหาวิทยาลัยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือเมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งเป็นเลขานุการสภามหาวิทยาลัยโดยคำแนะนำ ของอธิการบดี
มาตรา 14 นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรง ตำแหน่งสองปี แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งวาระ และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนแล้วหรือในกรณีทีทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯแต่งตั้งกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มขึ้นในระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการ สภามหาวิทยาลัยซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ในกรณีที่นายกสภามหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจากตำแหน่งเมื่อครบ วาระ ให้คงปฏิบัติหน้าที่ของตนไปก่อนจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกสภา มหาวิทยาลัยหรือกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิขึ้นใหม่
มาตรา 15 สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย และ โดยเฉพาะมีอำนาจตหน้าที่ดังนี้ (1) วางนโยบายของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการศึกษา การวิจัยการให้บริการทางวิชาการ แก่สังคมและการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐในส่วนรวมและใน ส่วนที่เกี่ยวกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (2) จัดวางระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย (3) อนุมัติให้ปริญญา ประกาศนียบัตรชั้นสูง อนุปริญญา และประกาศนียบัตร (4) พิจารณาเสนอจัดตั้ง รวม และยุบเลิก บัณฑิตวิทยาลัย คณะวิทยาลัย สถาบัน สำนัก ศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น รวมทั้งการแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการดังกล่าว (5) อนุมัติการรับเข้าสมบทหรือยกเลิกการสมทบ ซึ่งสถาบันการศึกษาชั้นสูงและสถาบันวิจัย (6) พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดี และพิจารณาถอด ถอนอธิการบดี (7) พิจารณาแต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการ สถาบัน ผู้อำนวยการสำนักผู้อำนวยการศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นและหัวหน้าภาควิชา รวมทั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองของตำแหน่งดังกล่าว ถ้ามี (8) พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งและพิจารณาถอดถอน ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์พิเศษ รวมทั้งแต่งตั้งและถอดถอนศาสตราจารย์เกียรติคุณ รองศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ (9) จัดวางระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการเงิน และทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย (10) พิจารณาอนุมัติงบประมาณเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย (11) ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณา และเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือเพื่อให้ปฏิบัติ การอย่างหนึ่งอย่างใดอันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัย (12) หน้าที่อื่นเกี่ยวกับกิจการของมหาวิทยาลัยที่มิได้ระบุให้เป็นหน้าที่ของผู้ใดโดยเฉพาะ
มาตรา 16 การประชุมของสภามหาวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของสภามหาวิทยาลัย
มาตรา 17 ให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วยประธาน กรรมการคนหนึ่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหนึ่ง ซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง คณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัย มีหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาแก่มหาวิทยาลัย และ สนับสนุนการดำเนินกิจการของมหาวิทยาลัย จำนวนและคุณสมบัติของกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยวาระในการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุมเพื่อดำเนินการตามหน้าที่ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย
มาตรา 18 ให้มีอธิการบดีคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบการ บริหารงานของมหาวิทยาลัย และจะให้มีรองอธิการบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้เพื่อทำหน้าที่และ รับผิดชอบตามที่อธิการบดีจะมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการบังคับบัญชา ให้ถือว่าอธิการบดีเป็นอธิบดีและรองอธิการบดีเป็นรอง อธิการบดี ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายอื่น
มาตรา 19 อธิการบดีนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของสภา มหาวิทยาลัยจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 20 อธิการบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี และจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งใหม่อีก ก็ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้ สำหรับรองอธิบดี ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยคำแนะนำของอธิการบดีจากบุคคลที่มีคุณสมบัติ ตามมาตรา 20 รองอธิการบดีพ้นจากตำแหน่งพร้อมกับอธิการบดี
มาตรา 20 อธิการบดีและรองอธิการบดีจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ได้ปริญญาเอกหรือเทียบเท่า จากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่มหาวิทยาลัย รับรองวิทยฐานะ และได้ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านบริหารมาแล้ไม่น้อยกว่าสามปี ใน มหาวิทยาลัยหรือในสถาบันอุดมศึกษอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ หรือ (2) ได้ปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใดหรือเทียบเท่าซึ่งต่ำกว่าปริญญาตาม (1) จากมหาวิทยาลัยหรือ จากสถาบันอุดมศึกษอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ และได้ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ ด้านบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีในมหาวิทยาลัยหรือในสถาบันอุดมศึกษาที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง วิทยฐานะ หรือเคยดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาแล้วรวมเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี
มาตรา 21 อธิการบดีมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ (1) บริหารกิจการของมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบข้อบังคับของทาง ราชการรวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย (2) รับปรึกษาและให้ความเห็นแก่คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัยผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวย การศูนย์หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นและผู้อำนวยการหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในสถาบันการศึกษา ชั้นสูง หรือสถาบันวิจัยอื่นที่เข้าสมทบกับมหาวิทยาลัย (3) ควบคุมบุคลากร การเงิน การพัสดุ สถานที่และทรัพย์สินอื่นของมหาวิทยาลัยให้เป็นไป ตามกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย (4) รักษาระเบียบวินัย และส่งเสริมกิจการนักศึกษา (5) วินิจฉัยสั่งการเพื่อป้องกันหรือยุติการดำเนินกิจการภายในมหาวิทยาลัยที่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี หรือที่อาจเป็นภัยต่อความมั่งคง หรือ ความปลอดภัยของประเทศ (6) เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยในกิจการทั่วไป (7) เสนอรายงานประจำปี เกี่ยวกับกิจการด้านต่างๆ ของมหาวิทยาลัยต่อสภามหาวิทยาลัย (8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือตราที่สภามหาวิทยาลัยมอบ หมาย
มาตรา 22 ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้อธิการบดีเป็นผู้รักษา ราชการแทน ถ้ามีรองอธิการบดีหลายคนให้รองอธิการบดีที่อธิการบดีมอบหมาย เป็นผู้รักษาราช การแทน ถ้าอธิการบดีมิได้มอบหมาย ให้รองอธิการบดีที่มีอาวุโสสูงสุดเป็นผู้รักษาราชการแทน ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีหรือไม่มีผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีตามความใน วรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามความมาตรา 20 เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี
มาตรา 23 ในบัณฑิตวิทยาลัย ให้มีคณบดีคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการในบัณฑิต วิทยาลัยและรับผิดชอบงานของบัณฑิตวิทยาลัย และจะให้มีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้เพื่อทำ หน้าที่และรับผิดชอบตามที่คณบดีจะมอบหมาย คณบดีนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของอธิการบดีตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ในระเบียบของมหาวิทยาลัย จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 24 รองคณบดีนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของคณบดีจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตาม มาตรา 24 คณบดีมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และสภามหาวิทยาลัยจะแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่จะดำรง ตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกับมิได้ รองคณบดีพ้นจากตำแหน่งพร้อมกับคณบดี
มาตรา 24 คณบดีและรองคณบดีจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ (1) ได้ปริญญาเอกหรือเทียบเท่า จากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหา วิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ และได้ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่า สามปีในมหาวิทยาลัยหรือในสถาบันอุดมศึกษอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะหรือ (2) ได้ปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใดหรือเทียบเท่าซึ่งต่ำกว่าปริญญาตาม (1) จากมหาวิทยาลัย หรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ และได้ทำการสอนหรือมี ประสบการณ์ด้านบริหารมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีในมหาวิทยาลัยหรือในสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภา มหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ
มาตรา 25 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำบัณฑิตวิทยาลัยและการจัดระบบบริหารงานใน บัณฑิตวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 26 ในคณะหนึ่ง ให้มีคณบดีคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ งานของคณะ และจำให้มีรองคณบดีคนหนึ่งหรือหลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่คณบดี จะมอบหมาย การแต่งตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง และคุณสมบัติของคณบดีและรองคณบดีตามวรรคหนึ่ง ให้ นำบทบัญญัติ มาตรา 23 และมาตรา 24 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 27 ในคณะหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำคณะ ประกอบด้วยคณบดี รองคณบดี และ หัวหน้าภาควิชา เป็นกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งจากคณาจารย์ ประจำในคณะ มีจำนวนไม่เกินกึ่ง หนึ่งของจำนวนกรรมการโดยตำแหน่ง ถ้าไม่มีการแบ่งภาควิชา หรือมีแต่ไม่ถึงสี่ภาควิชา ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งคณาจารย์ประจำในคณะเป็นกรรมการเพิ่ม เติมให้ได้จำนวนทั้งหมดไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเจ็ดคน ให้คณบดีเป็นประธานคณะกรรมการประจำคณะ และให้คณบดีเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็น เลขานุการของคณะกรรมการ กรรมการที่สามมหาวิทยาลัยแต่งตั้งเป็นคณาจารย์ประจำในภาควิชาเดียวกันเกินกว่าหนึ่งคน ไม่ได้ กรรมการดังกล่าวมีวาระการดำรงตำแหน่งสองปี แต่อาจได้รับการแต่งตั้งใหม่อีกได้ การประชุมของคณะกรรมการประจำคณะ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 28 คณะกรรมการประจำคณะ มีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ (1) พิจารณาหลักสูตรและรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรสำหรับคณะเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย (2) พิจารณาวางระเบียบข้อบังคับทางการศึกษาของคณะเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย (3) วางแผนงานของคณะเกี่ยวกับโครงการวิจัย โครงการทางวิชาการ การให้บริการทาง วิชาการแก่สังคม และการทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับนโยบายของสภามหาวิทยาลัย (4) พิจารณาเสนอเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ในคณะต่อสภามหา วิทยาลัย (5) จัดการสอบไล่ของคณะ (6) พิจารณางบประมาณของคณะ (7) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นแก่คณบดี (8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ตามที่คณบดีมอบหมาย
มาตรา 29 ในกรณีที่มีการแบ่งภาควิชาในคณะ ให้มีหัวหน้าภาควิชาเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชา ข้าราชการ และรับผิดชอบงานของภาควิชา และจะให้มีรองหัวหน้าภาควิชาคนหนึ่งหรือหลายคน ก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่หัวหน้าภาควิชาการจะมอบหมาย หัวหน้าภาควิชานั้น สภามหาวิทยาลัยจะได้แต่งตั้งโดยคำแนะนำของคณบดี ตามหลักเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ในระเบียบของมหาวิทยาลัยจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้ทำการสอน มาแล้วไม่น้อยกว่าสองปีในมหาวิทยาลัย หรือในสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรอง วิทยฐานะ หัวหน้าภาควิชามีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และสภามหาวิทยาลัยจะแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้ รองหัวหน้าภาควิชาพ้นจากตำแหน่งพร้อมกับหัวหน้าภาควิชา
มาตรา 30 ในวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ให้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยคนหนึ่ง เป็นผู้ปกครองบังคับ บัญชาข้าราชการและรับผิดชอบงานของวิทยาลัยและจะให้มีรองผู้อำนวยการวิทยาลัยคนหนึ่งหรือ หลายคนก็ได้ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบตามที่ผู้อำนวยการวิทยาลัยจะมอบหมาย ผู้อำนวยการวิทยาลัยนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของอธิการบดีตามหลัก เกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบของมหาวิทยาลัยจากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 30 รองผู้อำนวยการวิทยาลัยนั้น ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง โดยคำแนะนำของผู้อำนวยการ วิทยาลัย จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 33 ผู้อำนวยการวิทยาลัยมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี และสภามหาวิทยาลัยจะแต่งตั้งใหม่อีกก็ได้ แต่จะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันมิได้ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยพ้นจากตำแหน่งพร้อมกับผู้อำนวยการวิทยาลัย
มาตรา 31 ผู้อำนวยการวิทยาลัย และรองผู้อำนวยการการวิทยาลัยต้องได้รับปริญญาชั้นหนึ่ง ชั้นใดหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัยหรือจากสถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ และได้ทำการสอนหรือมีประสบการณ์ด้านบิหารแล้วไม่น้อยกว่าสามปีในมหาวิทยาลัยหรือสถาบัน อุดมศึกษาอื่น ที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยฐานะ
มาตรา 32 การจัดให้มีคณะกรรมการประจำวิทยาลัยและการจัดระบบบริหารงานในวิทยาลัย ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย การแบ่งภาควิชาในวิทยาลัย ให้นำมาตรา 29 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 33 ในกรณีที่มหาวิทยาลัยมีสถาบันเพื่อการวิจัย มีสำนักหรือมีศูนย์ หรือหน่วยงานที่ เรียกชื่ออย่างอื่นเพื่อส่งเสริมวิชาการตามวรรคสองของมาตรา 8 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยวิทยาลัย ตามมาตรา 30 มาตรา 31 และมาตรา 32 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 34 ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวย การสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น และหัวหน้า ภาควิชา จะต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา และจำดำรงตำแหน่ง หรือรักษาราชการแทนในตำแหน่ง ดังกล่าวมากกว่าหนึ่งตำแหน่งในขณะเดียวกันมิได้ เว้นแต่การรักษาราชการแทนเป็นการชั่วคราว ไม่เกินหกเดือน
มาตรา 35 คณาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย มีตำแหน่งทางวิชาการดังนี้ (1) ศาสตราจารย์ (2) รองศาสตราจารย์ (3) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (4) อาจารย์ การเข้าดำรงตำแหน่งทางวิชาการข้างต้น ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดตาม กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย
มาตรา 36 อาจารย์ต้องได้รับปริญญาชั้นหนึ่งชั้นใดหรือเทียบเท่าจากมหาวิทยาลัย หรือจาก สถาบันอุดมศึกษาอื่นที่สภามหาวิทยาลัยรับรองวิทยาฐานะ
มาตรา 37 ศาสตราจารย์นั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำของ สภามหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์ซึ่งมีความรู้ความสามารถและความชำนาญเป็นพิเศษและพ้นจากตำแหน่งไปโดย ที่ไม่มีความผิด สภามหาวิทยาลัยอาจแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณในวิชาที่ศาสตราจารย์ นั้นมีความเชี่ยวชาญก็ได้
มาตรา 38 อาจารย์พิเศษนั้นส อธิการบดีจะได้แต่งตั้งขึ้นประจำปีการศึกษาแต่ละปีตามคำ แนะนำของคณบดี ผู้อำนวยการวิทยาลัย ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการศูนย์ หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น แล้วแต่กรณี จากผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมซึ่งมิได้เป็นคณาจารย์ ประจำมหาวิทยาลัย
มาตรา 39 ศาสตราจารย์พิเศษนั้น จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งโดยคำแนะนำ ของสภามหาวิทยาลัยจากผู้ซึ่งเป็น หรือเคยเป็นอาจารย์พิเศษในวิชาที่ผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญ คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์พิเศษให้เป็นไปตามข้อบังคับของ มหาวิทยาลัย
มาตรา 40 ปริญญามีสามชั้น คือ เอก เรียกว่า ดุษฎีบัณฑิต ใช้อักษรย่อ ด. โท เรียกว่า มหาบัณฑิต ใช้อักษรย่อ ม. ตรี เรียกว่า บัณฑิต ใช้อักษรย่อ บ.
มาตรา 41 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญาในสาขาวิชาที่มีการสอนในมหาวิทยาลัย การกำหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษร ย่อ สำหรับสาขาวิชานั้นอย่างไร ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 42 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับให้ผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี ได้รับ ปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับสองได้
มาตรา 43 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรชั้นสูง อนุปริญญา และประกาศนียบัตร สำหรับสาขาวิชาใดได้ดังนี้ (1) ประกาศนียบัตรชั้นสูง ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งสาขาวิชาใดภาย หลังที่ได้รับปริญญาแล้ว (2) อนุปริญญา ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาการศึกษาตามหลักสูตรในสาขาวิชาหนึ่งสาขาใด ก่อนถึงขั้นได้รับปริญญาตรี (3) ประกาศนียบัตร ออกให้แก่ผู้สำเร็จการศึกษาเฉพาะวิชา
มาตรา 44 มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคล ซึ่งสภามหาวิทยาลัยเห็นว่าทรง คุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้นๆ ชั้น สาขาของปริญญา และวิธีการให้ปริญญากิตติมศักดิ์ ให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 45 มหาวิทยาลัยจะจัดให้มีครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะเป็นเครื่องหมายแสดง วิทยฐานะของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรชั้นสูง อนุปริญญา และประกาศนียบัตรก็ได้ การกำหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะ จะใช้ในโอกาสใด โดยมีเงื่อนไขอย่างใดให้เป็นไปตาม ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
มาตรา 46 สภามหาวิทยาลัยอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีเครื่องแบบ เครื่องหมายหรือ เครื่องแต่งกายนักศึกษาได้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 47 ผู้ใดใช้ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ เครื่องแบบเครื่องหมาย หรือเครื่องแต่ง กายนักศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ หรือแสดงด้วยประการใด ๆ ว่าตนมีปริญญา ประกาศนียบัตรชั้นสูง อนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของมหาวิทยาลัยโดยที่ตนไม่มีถ้าได้กระทำ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้หรือมีวิทยฐานะเช่นนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ บทเฉพาะกาล
มาตรา 48 ให้นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ใน วันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของสภามหาวิทยาลัยอยู่ต่อไป จนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งนายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิตาม มาตรา 13(1) และ (3) ซึ่งต้องไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการประชุมของสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัตินี้ให้ นำบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยขอนแก่น พ.ศ.2508 ว่าด้วยเรื่องนี้ใช้บังคับไปพลาง ก่อน
มาตรา 49 ให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี รองคณบดี และหัวหน้า ภาควิชา อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่า จะได้มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี คณบดี และหัวหน้าภาควิชาขึ้นใหม่ ซึ่งต้องไม่เกิน เก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 50 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการประจำคณะ อยู่ในวันที่พระราขบัญญัตินี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา คงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งขึ้นใหม่ ซึ่ง ต้องไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 51 ให้ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณศาสตราจารย์พิเศษ รอง ศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศ ในราชกิจจานุเบกษายังคงมีฐานะเป็นศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ และอาจารย์ต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 52 ในระหว่างที่ยังมิได้พระราชกฤษฎีกา หรือออกประกาศทบวงมหาวิทยาลัย ข้อ บังคับและระเบียบ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกาประกาศสำนักนายก รัฐมนตรีข้อบังคับและระเบียบที่ใช้อยู่เดิมมาใช้บังคับโดยอนุโลม ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ส.โหตระกิตย์ รองนายกรัฐมนตรี |
หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้คือ โดยที่การดำเนินงานของมหา วิทยาลัยในฐานะที่เป็นแหล่งกลางของสถาบันอุดมศึกษาศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เพิ่ม ขยายขึ้นเป็นอันมาก ทั้งในการผลิตบัณฑิตสาขาวิชาต่าง ๆ การค้นคว้า วิจัย และการบริการทาง วิชาการแก่สังคมตลอดจนภารกิจอื่น ๆ ตามความต้องการของการพัฒนาประเทศ สมควรที่จะได้มี การปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริหารมหาวิทยาลัย เพื่อให้การบริหารการศึกษามีความคล่องตัว และเหมาะสมกับสภาพการณ์ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น ( ร.จ. เล่ม 95 ตอนที่ 73 หน้า 41 21 กรกฎาคม 2521) |