พระราชบัญญัติ
                        ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
                               พ.ศ.2521
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2521
                        เป็นปีที่ 33 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้
ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอม
ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. 2521"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิก
   (1) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2503
   (2) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2505
   (3) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2507
   (4) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510
   (5) ประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ 360 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515
   (6) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2517
   (7) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2519
   บรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ในส่วนที่มีบทบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งขัด
หรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

   มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
   "ข้าราชการฝ่ายอัยการ" หมายความว่า ข้าราชการซึ่งรับราชการในกรมอัยการโดยได้รับเงิน
เดือนจากเงินเดือนจากเงินงบประมาณหมวดเงินเดือนในกรมอัยการ
   "รองอธิบดี" หมายความว่า รองอธิบดีกรมอัยการ
   "อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมอัยการ
   "ก.อ." หมายความว่า คณะกรรมการอัยการ
   "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 5 ข้าราชการฝ่ายอัยการได้แก่
   (1) ข้าราชการอัยการ คือข้าราชการผู้มีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่ง
บัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ
   (2) ข้าราชการธุรการ คือ ข้าราชการผู้มีหน้าที่ในทางธุรการ

   มาตรา 6 อัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการให้เป็นไปตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ โดยให้
แบ่งเป็น 6 ชั้น แต่ละชั้นมีจำนวนขั้นดังนี้
      ชั้น 1 มี         4 ขั้น
      ชั้น 2 มี        12 ขั้น
      ชั้น 3 มี         9 ขั้น
      ชั้น 4 มี         9 ขั้น
      ชั้น 5 มี         7 ขั้น
      ชั้น 6 มี         5 ขั้น
   ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ใช้ขั้นเงินเดือนของข้าราชการอัยการ ตามอัตรา ก. และ
เมื่อปรากฏว่าเงินเดือนหรือค่าจ้าวทั่วไปในประเทศเพิ่มขึ้น หรือค่าครองชีพสูงขึ้น หรืออัตราเงิน
เดือนที่ใช้อยู่ไม่เหมาะสม ก็ให้มีการปรับขั้นเงินเดือนเป็นอัตรา ข. อัตรา ค. อัตรา ง. อัตรา จ.
หรืออัตรา ฉ.  ตามความเหมาะสม โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา การปรับขั้นเงินเดือนดังกล่าวให้
มีผลเป็นการปรับขั้นเงินเดือนข้าราชการอัยการที่ได้รับอยู่ตามไปด้วย
   อัตราเงินเดือนข้าราชการธุรการให้เป็นไปตามบัญชีซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้า
ราชการพลเรือนเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนสามัญ

   มาตรา 7 เพื่อประโยชน์ในการออมทรัพย์ของข้าราชการอัยการคณะรัฐมนตรีจะวางระเบียบและ
วิธีการให้กระทรวงการคลังหักเงินเดือนของข้าราชการอัยการไว้เป็นเงินสะสมก็ได้ โดยคิดดอก
เบี้ยจากเงินสะสมนั้นให้ในอัตราไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทประจำของธนาคารพาณิชย์
   เงินสะสมและดอกเบี้ยนี้ให้จ่ายคืนหรือให้กู้ยืมเพื่อดำเนินการตามโครงการสวัสดิการสำหรับข้า
ราชการอัยการตามระเบียบที่กระทรวงการคลังกำหนด

   มาตรา 8 ข้าราชการอัยการอาจจะได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 9 ในกรณีที่มีเหตุที่จะต้องจัดให้มีหรือปรับปรุงเงินเพิ่มค่าครองชีพตามมาตรา 8 หรือ
ปรับขั้นเงินเดือนตามมาตรา 6 วรรคสองให้รัฐมนตรีรายงานไปยังคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป

   มาตรา 10 ข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ข้าราชการวิสามัญ หรือข้าราชการซึ่งอยู่
ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือพนักงานเทศบาลที่ไม่ใช่พนักงานเทศบาลวิสามัญ ซึ่งสอบ
คัดเลือกหรือทดสอบความรู้เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยได้
ตามพระราชบัญญัตินี้  หากประสงค์จะโอนมาบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย
เพื่อนนับเวลาราชการหรือเวลาทำงานของตนในขณะที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานเทศบาลเป็นเวลา
ราชการของข้าราชการอัยการตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย ก็ให้กระทำได้โดยอัยการทำความตกลงกับ
เจ้าสังกัด

   มาตรา 11 บำเหน็จบำนาญของข้าราชการอัยการ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
   ข้าราชการอัยการผู้ใดถึงแก่ความตายเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณา
เลื่อนขั้นเงินเดือนให้ผู้นั้นเป็นกรณีพิเศษเพื่อประโยชน์ในการคำนวณบำเหน็จบำนาญก็ได้

   มาตรา 12 เครื่องแบบของข้าราชการอัยการและระเบียบการแต่งให้เป็นไปตามที่กำหนดโดย
พระราชกฤษฎีกา

   มาตรา 13 วันเวลาทำงาน วันหยุดราชการตามประเพณี วันหยุดประจำปี และลาหยุดราชการ
ของข้าราชการอัยการ ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

   มาตรา 14 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจ
กำหนดค่าธรรมเนียมการสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ และออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติตาม
พระราชบัญญัตินี้
   กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

   มาตรา 15 ให้มีคณะกรรมการอัยการคณะหนึ่ง เรียกโดยย่อว่า ก.อ.ประกอบด้วย
   (1) รัฐมนตรีเป็นประธาน
   (2) อธิบดีเป็นรองประธาน
   (3) รองอธิบดี อัยการพิเศษฝ่ายปรึกษา อัยการพิเศษฝ่ายคดีและอัยการพิเศษฝ่ายวิชาการ
เป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่งและ
   (4) กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิหกคน  ซึ่งข้าราชการอัยการที่ได้รับเงินเดือนตั้งแต่ ชั้น 2
ขึ้นไป เป็นผู้เลือกจาก
      (ก) ข้าราชการอัยการซึ่งได้รับเงินเดือนตั้งแต่ชั้น 4 ขึ้นไปและมิได้เป็นกรรมการอัยการ
โดยตำแหน่งอยู่แล้ว สามคน
      (ข) ผู้รับบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ซึ่งเคยรับราชการเป็นข้า
ราชการอัยการมาแล้ว และต้องไม่เป็นข้าราชการเมือง สมาชิกรัฐสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
กรรมการพรรคการเมือง เจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือทนายความสามคน
   ให้ ก.อ. แต่งตั้งข้าราชการฝ่ายอัยการคนหนึ่งเป็นเลขานุการ ก.อ.

   มาตรา 16 เมื่อจะมีการเลือกกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้รัฐมนตรีเป็นผู้สั่ง วิธีการเลือก
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ให้รัฐมนตรีประกาศชื่อผู้ได้
รับเลือกในราชกิจจานุเบกษา

   มาตรา 17 กรรมการอัยการผู้ทรงวุฒิอยู่ในตำแหน่งได้คราวละสองปี และอาจได้รับเลือกใหม่
   ถ้าตำแหน่งว่างลงก่อนถึงกำหนดวาระ ให้รัฐมนตรีสั่งให้ดำเนินการเลือกซ่อม เว้นแต่วาระ
การอยู่ในตำแหน่งของกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิจะเหลือกไม่ถึงเก้าสิบวัน รัฐมนตรีจะไม่สั่งให้
ดำเนินการเลือกซ่อมก็ได้
   กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับเลือกซ่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงวาระของผู้ที่ตนแทน

   มาตรา 18 ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการอัยการว่างลง นอกจากการพ้นจากตำแหน่งของกรรม
การอัยการผู้ทรงคุณวุฒิตามวาระ และมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการโดยรีบด่วน ก็ให้กรรมการ
อัยการที่เหลือดำเนินการไปได้ แต่ต้องมีกรรมการอัยการพอที่จะเป็นองค์ประชุม

   มาตรา 19 กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
   (1) ครบกำหนดวาระ
   (2) ตาย
   (3) ลาออก
   (4) เป็นกรรมการอัยการโดยตำแหน่ง หรือพ้นจากตำแหน่งข้าราชการอัยการ ในกรณีที่เป็น
กรรมการอัยการตามมาตรา 15(4) (ก)
   (5) กลับเข้ารับราชการอัยการ ในกรณีที่เป็นกรรมการอัยการตามมาตรา 15 (4) (ข)
   (6) ไปเป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกรัฐสภา ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง กรรมการพรรค
การเมือง เจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง หรือทนายความ
   ในกรณีเป็นที่สงสัยว่า กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิผู้ใดพ้นจากตำแหน่งกรรมการอัยการหรือไม่
ให้อธิบดีเสนอ ก.อ. เพื่อวินิจฉัยชี้ขาด

   มาตรา 20 การประชุมของ ก.อ. ต้องมีกรรมการอัยการมาประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดคนจึงเป็น
องค์ประชุม
   ถ้าประธานไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานเป็นประธานในที่ประชุม ถ้า
ประธานและรองประธานไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการอัยการในที่ประชุมเลือก
กรรมการอัยการคนหนึ่งเป็นประธาน
   หากกรรมการอัยการโดยตำแหน่งว่างลง หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้รักษาราชการแทน
หรือผู้รักษาการในตำแหน่งตามกฎหมาย ทำหน้าที่กรรมการอัยการแทนในระหว่างนั้น
   ในการประชุมของ ก.อ. ถ้ามีการพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับกรรมการอัยการผู้ใดโดยเฉพาะ ผู้นั้น
ไม่มีสิทธิเข้าประชุม
   การวินิจฉัยชี้ขาดให้ถือเสียงข้างมาก ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียง
เพิ่มขึ้นอีกเสียหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
   ก.อ. มีอำนาจออกข้อบังคับว่าด้วยระเบียบการประชุมและการลงมติ

   มาตรา 21 ในกรณีที่ ก.อ. มีหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ให้อธิบดีเป็นผู้เสนอเรื่อง
ต่อ ก.อ. แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิกรรมการอัยการคนหนึ่งคนใดที่จะเสนอ

   มาตรา 22 ก.อ. มีอำนาจแต่งตั้งอนุกรรมการให้ทำการใด ๆ แทนได้

   มาตรา 23 ตำแหน่งข้าราชการอัยการมีดังนี้ อธิบดี รองอธิบดีอัยการพิเศษฝ่ายปรึกษา
อัยการพิเศษฝ่ายคดี อัยการพิเศษฝ่ายวิชาการอัยการพิเศษประจำเขต อัยการประจำกรม อัยการ
จังหวัด อัยการประจำกอง อัยการจังหวัดผู้ช่วย และอัยการผู้ช่วย
   นอกจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง อาจให้มีตำแหน่งข้าราชอัยการที่เรียกชื่ออย่างอื่น ตามที่กำหนด
ในกฎกระทรวงได้ ตำแหน่งดังกล่าวจะเทียบกับตำแหน่งใดตามวรรคหนึ่งให้กำหนดไว้ใน
กฎกระทรวงนั้นด้วย กฎกระทรวงเช่นว่านี้ให้ได้รับความเห็นชอบของ ก.อ. ก่อน

   มาตรา 24 ข้าราชการอัยการจะได้รับเงินเดือนตามตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งดังต่อไปนี้
   (1) อธิบดี ให้ได้รับเงินเดือนชั้น 6
   (2) รองอธิบดี ให้ได้รับเงินเดือนชั้น 5
   (3) อัยการพิเศษฝ่ายปรึกษา อัยการพิเศษฝ่ายคดี อัยการพิเศษฝ่ายวิชาการ และอัยการ
พิเศษประจำเขต ให้ได้รับเงินเดือนชั้น 4
   (4) อัยการประจำกรม และอัยการจังหวัด ให้ได้รับเงินเดือนชั้น 3
   (5) อัยการประจำกอง และอัยการจังหวัดผู้ช่วย ให้ได้รับเงินเดือนชั้น 2
   (6) อัยการผู้ช่วย ให้ได้รับเงินเดือนชั้น 1
   สำหรับข้าราชการอัยการซึ่งดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น เมื่อเทียบกับตำแหน่งใดก็ให้ได้
รับเงินเดือนตามตำแหน่งนั้น
   ในกรณีที่ข้าราชการอัยการได้เลื่อนขั้นรับเงินเดือนในชั้นถัดไป ให้ได้รับเงินเดือนในอัตราขั้น
ต่ำของชั้นนั้น แต่ถ้าผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นต่ำที่เลื่อนขึ้นก็ให้ได้รับเงินเดือนในขั้นของชั้นนั้น
ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเงินเดือนที่ได้รับอยู่

   มาตรา 25 การบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการอัยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วย
ให้รัฐมนตรีเป็นผู้สั่ง โดยวิธีการสอบคัดเลือกตามความในหมวด 2 แห่งลักษณะนี้
   แต่ถ้าผู้ใด
   (1) สอบไล่ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรทางกฎหมายจากต่างประเทศ โดยมีหลักสูตรการ
ศึกษาเดียวไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่ง ก.ค. เทียบว่าไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และสอบไล่ได้ตามหลักสูตร
ของสำนักของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
   (2) สอบไล่ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรทางกฎหมายจากต่างประเทศ โดยมีหลักสูตรการ
ศึกษาหลักสูตรเดียวไม่น้อยกว่าสองปี หรือหลายหลักสูตรรวมกันไม่น้อยกว่าสองปี ซึ่ง ก.อ. เทียบ
ว่า ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี และสอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
และได้ประกอบวิชาชีพตามที่ระบุไว้ในมาตรา 33 (1) (ค) เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
   (3) สอบไล่ได้เป็นธรรมศาสตร์บัณฑิต หรือนิติศาสตร์บัณฑิตและสอบไล่ได้ชั้นเกียรตินิยมตามหลัก
สูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และได้ประกอบวิชาชีพ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา
33 (1) (ค) เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี หรือ
   (4) สอบไล่ได้ปริญญาโทหรือปริญญาเอกทางกฎหมายในประเทศไทย และสอบไล่ได้ตามหลัก
สูตรของสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา และได้ประกอบวิชาชีพตามที่ระบุไว้ในมาตรา
33 (1) (ค) เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
   เมื่อ ก.อ. พิจารณาเห็นว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 33 (2) ถึง (12) และได้ทำการ
ทดสอบความรู้ในวิชากฎหมายแล้ว เห็นสมควรที่จะให้เข้ารับราชการ ก็ให้รัฐมนตรีสั่งบรรจุเป็นข้า
ราชการอัยการ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วยได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และ
อัตราส่วนของจำนวนผู้สอบคัดเลือกได้ตามที่ ก.อ. กำหนด
   การบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย ให้บรรจุให้ได้รับเงินเดือนใน
อัตราขั้นต่ำของขั้น

   มาตรา 26 อัยการผู้ช่วยที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดผู้ช่วยจะต้องได้
รับการอบรมจากกรมอัยการมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผลของการอบรมเป็นที่พอใจของ ก.อ.
ว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และความประพฤติ เหมาะสมที่จะเป็นอัยการจังหวัดผู้ช่วย
   อัยการผู้ช่วยซึ่งได้รับการอบรมจากกรมอัยการมาแล้วหนึ่งปี แต่ผลของการอบรมยังไม่เป็นที่พอ
ใจของ ก.อ. ว่าเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถและความประพฤติ เหมาะสมที่จะเป็นอัยการจังหวัด
ผู้ช่วย ก็ให้ได้รับการอบรมจากรมอัยการต่อไปอีกหนึ่งปี เมื่อครบกำหนดดังกล่าวแล้ว หากผลของ
การอบรมยังไม่เป็นที่พอใจของ ก.อ. ให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้ออกจากราชการ
   ในระหว่างเวลาปีแรกที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัดผู้ช่วย หากปรากฏว่าผู้ได้
รับแต่งตั้งไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปให้รัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของ ก.อ. มีอำนาจ
สั่งให้ออกจากราชการ

   มาตรา 27 การแต่งตั้งข้าราชการอัยการให้ดำรงตำแหน่งนอกจากตำแหน่งอัยการผู้ช่วยให้
รัฐมนตรีเสนอ ก.อ. โดยคำนึงถึงความรู้ความความสามารถ ความรับผิดชอบ ประวัติการปฏิบัติ
ราชการของบุคคลนั้นเทียบกับงานในตำแหน่งข้าราชการอัยการที่จะได้รับแต่งตั้งนั้น ๆ เพื่อให้ความ
เห็นชอบก่อนเมื่อได้รับความเห็นชอบแล้ว จึงนำความกราบบังคับทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้ง

   มาตรา 28 การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการอัยการในชั้นหนึ่ง ๆ ให้รัฐมนตรีเป็นผู้สั่งเลื่อน
ในเมื่อได้รับความเห็นชอบของ ก.ค.แล้ว โดยปกติปีละหนึ่งขั้น โดยคำนึงถึงคุณภาพและปริมาณ
งานของตำแหน่งและผลของงานที่ได้ปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.อ. กำหนด
หลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.อ. กำหนด ให้ออกเป็นกฎหมาย

   มาตรา 29 การโอนข้าราชการอัยการไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการธุรการ โดยให้
ได้รับเงินเดือนไม่สูงกว่าในขณะที่โอน ให้รัฐมนตรีสั่งได้ เมื่อข้าราชการอัยการผู้นั้นยินยอม และ
ก.อ. เห็นชอบ
   การโอนข้าราชการอัยการไปเป็นข้าราชการพลเรือน หรือข้าราชการฝ่ายอื่นให้รัฐมนตรีสั่งได้
เมื่อข้าราชการอัยการผู้นั้นยินยอม และ ก.อ. เห็นชอบ
   การให้ข้าราชการอัยการไปทำงานในตำแหน่งข้าราชการธุรการหรือตำแหน่งการเมืองใน
กระทรวงมหาดไทย ให้รัฐมนตรีสั่งได้เมื่อ ก.อ. เห็นชอบ ในระหว่างที่ปฏิบัติงานเช่นว่านี้ข้าราช
การอัยการผู้นั้นจะทำการเกี่ยวกับการดำเนินคดีในหน้าที่ของพนักงานอัยการไม่ได้

   มาตรา 30 การโอนข้าราชการธุรการมาแต่งตั้งให้ตำแหน่งข้าราชการอัยการโดยให้ได้รับเงิน
เดือนไม่สูงกว่าในขณะที่โอนมา อาจทำได้เมื่อ ก.อ. เห็นชอบ แต่ข้าราชการธุรการผู้นั้นอย่างน้อย
ต้องเคยเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการประจำกอง หรืออัยการจังหวัดผู้ช่วยมาแล้ว

   มาตรา 31 ข้าราชการอัยการผู้ใดพ้นจากตำแหน่งข้าราชการอัยการไปโดยมิได้มีความผิด หรือ
มีมลทินหรือมัวหมองในราชการ หรือไปรับราชการ ในกระทรวงทบวงกรมอื่นเมื่อจะกลับเข้ารับ
ตำแหน่งข้าราชการอัยการโดยรับเงินเดือนไม่สูงกว่าขณะพ้นจากตำแหน่งข้าราชการอัยการ ถ้าไม่
เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ ตามมาตรา 33 (2) ถึง (12) ก็ให้รัฐมนตรีสั่งบรรจุได้เมื่อ ก.อ. เห็นชอบ

   มาตรา 32 ข้าราชการอัยการผู้ใดไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
เมื่อผู้นั้นพ้นจากราชการทหาร โดยไม่มีความเสียหาย และประสงค์จะกลับเข้ารับราชการในตำแหน่ง
ข้าราชการอัยการโดยรับเงินเดือนเท่าที่ได้รับอยู่ในขณะที่ไปรับราชการทหาร ให้ยื่นคำขอภายใน
กำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันพ้นจากราชการทหารในกรณีเช่นว่านี้ ให้รัฐมนตรีสั่งบรรจุได้เมื่อ
ก.อ.เห็นชอบ แต่ถ้าจะบรรจุให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าขณะที่ไปรับราชการทหารให้บรรจุได้ตามหลัก
เกณฑ์และวิธีการ ซึ่ง ก.อ. จะได้กำหนด

   มาตรา 33 ผู้สมัครสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
อัยการผู้ช่วย ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
   (1) (ก) สอบไล่ได้เป็นธรรมศาสตร์บัณฑิต หรือนิติศาสตร์บัณฑิต หรือสอบไล่ได้ปริญญาหรือ
ประกาศนียบัตรทางกฎหมายจากต่างประเทศ ซึ่ง ก.อ. เทียบว่าไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี
       (ข) สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสำนักอบรมศึกษา กฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาและ
       (ค) ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายเป็นข้าราชการตุลาการจ่าศาล รองจ่าศาล เจ้า
พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีพนักงานคุมประพฤติ นายทหารเหล่าพระธรรมนูญ หรือ
ทนายความหรือได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายอย่างอื่นตามที่ ก.อ. กำหนด ทั้งนี้เป็นเวลาไม่น้อย
กว่าสองปี และให้ ก.อ. มีอำนาจออกระเบียบกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพนั้น ๆ
ด้วย
   (2) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
   (3) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี
   (4) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญด้วยความบริสุทธิ์ใจ
   (5) เป็นสามัญสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภา
   (6) ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
   (7) ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
   (8) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งให้พักราชการ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามกฎ
หมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการหรือตามกฎหมายอื่น
   (9) ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ
  (10) ไม่เป็นผู้เคยรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่
ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
  (11) ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
หรือมีกายหรือจิตใจไม่เหมาะสมที่จะเป็นข้าราชการอัยการ หรือเป็นโรค ที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง
และ
  (12) เป็นผู้ที่คณะกรรมการแพทย์มีจำนวนไม่น้อยกว่าสามคน ซึ่ง ก.อ. จะได้กำหนดได้ตรวจ
ร่างกายและจิตใจแล้ว และ ก.อ. ได้พิจารณารายงานของแพทย์ เห็นว่าสมควรรับสมัครได้
   ให้ ก.อ. มีอำนาจวางระเบียบเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครสอบคัดเลือกก่อนที่จะรับ
สมัครได้

   มาตรา 34 ให้ ก.อ. มีอำนาจกำหนดหลักสูตรและวิธีการสอบคัดเลือกตามมาตรา  33
ตลอดจนวางเงื่อนไขในการรับสมัคร
   เมื่อสมควรจะมีการสอบคัดเลือกเมื่อใด ให้กรมอัยการเสนอต่อ ก.อ. ให้ ก.อ. จัดให้มี
การสอบคัดเลือก เมื่อได้มีการสอบใหม่ และได้ประกาศผลของการสอบแล้ว บัญชีสอบคัดเลือก
คราวก่อนเป็นอันยกเลิก

   มาตรา 35 ผู้สอบคัดเลือกที่ได้คะแนนสูงให้ได้รับบรรจุเป็นข้าราชการอัยการ และแต่งตั้งให้
ดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วยก่อนผู้ที่ได้รับคะแนนต่ำลงมาตามลำดับแห่งบัญชีสอบคัดเลือก หากได้
คะแนนต่ำลงมาตามลำดับแห่งบัญชีสอบคัดเลือก หากได้คะแนนเท่ากันให้ใช้วิธีจับสลากเพื่อจัด
ลำดับที่ระหว่างผู้ที่ได้คะแนนเท่ากันนั้น
   ผู้สอบคัดเลือกได้ผู้ใด หากขาดคุณสมบัติหรือลักษณะข้อใดข้อหนึ่งตามมาตรา 33 หรือเป็นบุคคล
ที่ ก.อ. เห็นว่ามีชื่อเสียงหรือความประพฤติหรือเหตุอื่น ๆ ที่ไม่เหมาะสมจะเป็นข้าราชการอัยการ
ผู้นั้นเป็นอันหมดสิทธิเข้ารับราชการตามผลของการสอบคัดเลือกนั้น

   มาตรา 36 ข้าราชการอัยการพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
   (1) ตาย
   (2) พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
   (3) ได้รับอนุญาตให้ลาออก
   (4) โอนไปรับราชการทางอื่น
   (5) ออกจากราชการเพื่อไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร
   (6) ถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา 26 หรือมาตรา 37 หรือมาตรา 39
   (7) ถูกสั่งลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก
   การพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการอัยการ เว้นแต่ตำแหน่งอัยการผู้ช่วย หากเป็นกรณีตาม
(1) (2) หรือ (3) ให้นำความกราบบังคับทูลเพื่อทรงทราบ แต่ถ้าเป็นการพ้นจากตำแหน่งตาม
(4) (5) (6) หรือ (7) ให้นำความกราบบังคับทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจาก
ตำแหน่ง พระบรมราชโองการดังกล่าวให้มีผลตั้งแต่วันโอนหรือวันออกจากราชการแล้วแต่กรณี

   มาตรา 37 ผู้ได้รับบรรจุเป็นข้าราชการอัยการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดหากภายหลัง
ปรากฏต่อ ก.อ. ว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 25 หรือมาตรา 33 ตั้งแต่ก่อนได้รับบรรจุ ให้
รัฐมนตรีด้วยความเห็นชอบของ ก.อ. สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการ แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึง
การใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่รับจากทาง
ราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้น และถ้าการเข้ารับราชการเป็นไปโดยสุจริตแล้วให้ถือว่าเป็นการ
สั่งให้ออกเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

   มาตรา 38 ข้าราชการอัยการผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้
บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปชั้นหนึ่งเพื่อให้รัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา เมื่อรัฐมนตรีสั่งอนุญาตแล้วให้ถือว่าพ้น
จากตำแหน่ง
   ในกรณีที่ข้าราชการอัยการขอลาออกเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง
ให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ผู้นั้นขอลาออก
   นอกจากกรณีตามวรรคสอง ถ้ารัฐมนตรีเห็นว่า จำเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการจะยับยั้งการ
อนุญาตให้ลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกินสามเดือนนับแต่วันขอลาออกก็ได้

   มาตรา 39 เมื่อรัฐมนตรีเห็นสมควรให้ข้าราชการอัยการผู้ใดออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จ
บำนาญเหตุทดแทน เหตุทุพพลภาพ หรือเหตุรับราชการนาน ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้า
ราชการ ให้ทำได้ด้วยความเห็นชอบของ ก.อ. แต่การให้ออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ
เหตุทดแทน ให้ทำได้เฉพาะในกรณีดังต่อไปนี้
   (1) เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดต้องหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง และได้ดำเนินการสอบ
สวนตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 4 หมวด 2 แล้ว ไม่ได้ความเป็นสัตย์ว่ากระทำผิดที่จะต้องถูก
ลงโทษไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก แต่ผู้นั้นมีมลทินหรือมัวหมอง จะให้รับราชการต่อไป จะเป็น
การเสียหายแก่ราชการ
   (2) เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดบกพร่องต่อหน้าที่ หรือหย่อนความสามารถ ในอันที่จะปฏิบัติหน้า
ที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่สมควรที่จะให้คงเป็นข้าราชการอัยการต่อไป
   (3) เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการได้โดยสม่ำเสมอ แต่ไม่ถึง
เหตุทุพพลภาพ หรือ
   (4) เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดขาดคุณสมบัติตามมาตรา 33(2) หรือ (11) หรือเป็นสมาชิก
รัฐสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้ง หรือเป็นข้าราชการเมือง เว้นแต่กรณีตามมาตรา 29 วรรคสาม

   มาตรา 40 ข้าราชการอัยการต้องรักษาวินัยตามที่บัญญัติไว้ในหมวดนี้โดยเคร่งครัด ผู้ใดฝ่าฝืน
จักต้องได้รับโทษตามที่บัญญัติไว้ใน หมวด 3 แห่งลักษณะนี้

   มาตรา 41 ข้าราชการอัยการต้องสนับสนุนการปกครองระบบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญด้วย
ความบริสุทธิ์ใจ

   มาตรา 42 ข้าราชการอัยการจะเป็นกรรมการพรรคการเมืองสมาชิกพรรคการเมือง หรือเจ้า
หน้าที่ในพรรคการเมืองไม่ได้
   ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา หรือผู้แทนทางการเมืองอื่นใดข้าราชการอัยการจะเข้าเป็นตัว
กระทำการ ร่วมกระทำการ หรือสนับสนุนในการโฆษณาหรือชักชวนใด ๆ ไม่ได้

   มาตรา 43 ข้าราชการอัยการต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาสั่งในหน้าที่ราชการโดย
ชอบด้วยกฎหมาย ห้ามมิให้ขัดขืนหลีกเลี่ยง ถ้าไม่เห็นพ้องด้วยคำสั่งนั้นจะเสนอความเห็นทัดทาน
เป็นหนังสือก็ได้ แต่ต้องเสนอโดยด่วน และเมื่อได้ทัดทานดังกล่าวแล้วผู้บังคับบัญชามิได้สั่งถอน
หรือแก้คำสั่งที่สั่งไป ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม แต่ให้ผู้บังคับบัญชารับรายงานขึ้นไปยัง
อธิบดีตามลำดับ
   ในการปฏิบัติราชการ ห้ามมิให้กระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่จะได้รับอนุญาต

   มาตรา 44 ข้าราชการอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความระมัดระวังมิให้เสียหายแก่
ราชการ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม

   มาตรา 45 ข้าราชการอัยการต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาการรายงานโดยปกปิดข้อ
ความซึ่งควรต้องบอกถือว่าเป็นการรายงานเท็จด้วย

   มาตรา 46 ข้าราชการอัยการต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการจะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่
ราชการมิได้
   ข้าราชการอัยการต้องไม่ประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพ หรือกระทำกิจการใดอันเป็นการกระทบ
กระเทือนถึงการปฏิบัติหน้าที่ หรือเสื่อมเสียถึงเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ
   ข้าราชการอัยการต้องไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือที่ปรึกษากฎหมายหรือดำรงตำแหน่งอื่น
ใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกันนั้นในห้างหุ้นส่วนบริษัท
   ข้าราชการอัยการต้องไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐในทำนองเดียวกัน
เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจาก ก.อ.

   มาตรา 47 ข้าราชการอัยการต้องไม่กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็น ผู้ประพฤติชั่ว เช่น ประพฤติ
ตนเป็นคนเสเพล มีหนี้สินรุงรัง เสพของมึนเมาจนไม่สามารถครองสติได้ เล่นการพนันเป็นอาจิณ
กระทำความผิดอาญา หรือกระทำการอื่นใด ซึ่งความประพฤติหรือการกระทำดังกล่าวแล้ว อาจทำ
ให้เสียเกียรติศักดิ์แห่งตำแหน่งหน้าที่ราชการ

   มาตรา 48 ข้าราชการอัยการต้องต้อนรับ ให้ความสะดวก และให้ความสงเคราะห์ต่อประชาชน
ผู้มาติดต่อในกิจการอันเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของตนโดยไม่ชักช้า
   ห้ามมิให้ดูหมิ่นเหยียดหยามบุคคลใด ๆ และต้องสุภาพเรียบร้อยต่อประชาชน

   มาตรา 49 ข้าราชการอัยการต้องถือและปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ

   มาตรา 50 ข้าราชการอัยการต้องสุภาพเรียบร้อยและรักษาความสามัคคีระหว่างข้าราชการ
และต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่ราชการ

   มาตรา 51 ข้าราชการอัยการต้องรักษาความลับของทางราชการ

   มาตรา 52 ผู้บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายอัยการผู้ใดรู้ว่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัยแล้วไม่
จัดการสอบสวนพิจารณาและดำเนินการตามความในหมวด 2 และหมวด 3 แห่งลักษณะนี้ หรือตาม
กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน แล้วแต่กรณี หรือไม่จัดการลงโทษตามอำนาจและหน้าที่
หรือจัดการลงโทษโดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชาผู้นั้นกระทำผิดวินัย

   มาตรา 53 เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย ผู้
บังคับบัญชาต้องดำเนินการสอบสวนชั้นต้นโดยมิชักช้า
   วิธีการสอบสวนชั้นต้นจะทำโดยให้ผู้มีกรณีเกี่ยวข้องชี้แจงเรื่องราวเป็นหนังสือ หรือโดยบันทึก
เรื่องราวและความเห็นก็ได้
   เมื่อผู้บังคับบัญชาได้สอบสวนชั้นต้นแล้ว เห็นว่า ข้าราชการอัยการผู้ใดกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง
ให้ดำเนินการตามมาตรา 63 แต่ถ้าเห็นว่าเป็นกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดำเนินการ
ตามมาตรา 54 หรือ มาตรา 56 แล้วแต่กรณี แต่ถาเกินอำนาจของตนให้รายงานไปยังผู้บังคับ
บัญชาเหนือตนขึ้นไปตามลำดับเพื่อดำเนินการตามควรแก่กรณี

   มาตรา 54 ข้าราชการอัยการผู้ใดซึ่งผู้บังคับบัญชาเห็นว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่มีโทษ
ถึงไล่ออก ปลดออก หรือให้ออก ให้ผู้บังคับบัญชาต่อไปนี้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นอย่างน้อยสามคน
เพื่อทำการสอบสวน คือ
   (1) รัฐมนตรี สำหรับข้าราชการอัยการทุกชั้น
   (2) อธิบดี สำหรับข้าราชการอัยการซึ่งได้รับเงินเดือนชั้น 1 และชั้น 2
   กรรมการตามวรรคหนึ่งต้องเป็นข้าราชการอัยการ
   ในการสอบสวนนั้น คณะกรรมการสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดเท่าที่มีอยู่ให้ผู้
กล่าวหาว่ากระทำวินัยทราบ และต้องให้โอกาสแก่ผู้กล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยชี้แจงและนำพยาน
หลักฐานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ด้วย
   ให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนให้เสร็จโดยเร็วกำหนดอย่างช้าไม่เกินสามสิบวัน
นับแต่วันได้รับแต่งตั้ง ถ้ามีความจำเป็นซึ่งจะสอบสวนไม่ทันภายในกำหนดนั้นก็ให้ขยายเวลาออกไป
ได้อีกไม่เกินสองครั้ง แต่ละครั้งเป็นเวลาไม่เกินสิบห้าวัน และต้องแสดงเหตุที่ต้องขยายเวลาไว้
ด้วยทุกครั้ง แต่ถ้าขยายเวลาแล้วยังสอบสวนไม่เสร็จ จะขยายเวลาไว้ด้วยทุกครั้ง แต่ถ้าขยาย
เวลาแล้วยังสอบสวนไม่เสร็จ จะขยายเวลาต่อไปอีกได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้แต่งตั้ง
   หลักเกณฑ์และวิธีการที่เกี่ยวกับการสอบสวนให้เป็นไปตามที่ ก.อ. กำหนด
   เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ทำการสอบสวนเสร็จแล้ว ให้รายงานเสนอความเห็นเสียก่อนด้วย
ถ้าคณะกรรมการหรือผู้บังคับบัญชาดังกล่าว หรืออธิบดี เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัย ก็ให้อธิบดี
ทำความเห็นรายงานไปยัง ก.อ. เมื่อ ก.อ. ได้พิจารณาเห็นสมควรลงโทษไล่ออก ปลด ออก หรือ
ให้ออกจากราชการ จึงให้รัฐมนตรีหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีสั่งไล่ออก
ปลดออก หรือให้ออกจากราชการต่อไป
   ในกรณีข้าราชการอัยการถูกฟ้องคดีอาญา จะใช้คำพิพากษาถึงที่สุดของศาลประกอบการพิจารณา
ของ ก.อ.  โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้

   มาตรา 55 ให้กรรมการสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและให้มีอำนาจ
เช่นเดี่ยวกับพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพียงเท่าที่เกี่ยวกับอำนาจ
และหน้าที่ขอวงกรรมการสอบสวน และโดยเฉพาะให้มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย คือ
   (1) เรียกให้กระทรวงทบวงกรม หน่วยราชการ หรือรัฐวิสาหกิจชี้แจงข้อเท็จจริงส่งเอกสาร
และหลักฐาน ส่งผู้แทนหรือบุคคลในสังกัดมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเรื่องที่สอบสวน
   (2) เรียกผู้ถูกกล่าวหาหรือบุคคลใด ๆ มาให้ถ้อยคำ หรือ ให้ส่งเอกสารและหลักฐานเกี่ยวกับ
เรื่องที่สอบสวน

   มาตรา 56 ข้าราชการอัยการผู้ใด กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและเป็นกรณีความผิดที่ปรากฏ
ชัดแจ้งตามที่ ก.อ. กำหนด หรือได้ให้ถ้อยคำรับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาหรือต่อคณะ
กรรมการสอบสวน รัฐมนตรีหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีจะพิจารณาสั่งลงโทษ
โดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้ ทั้งนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบของ ก.อ. ก่อน

   มาตรา 57 ข้าราชการอัยการผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรม
การสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ถ้าผู้บังคับบัญชาเห็นว่าจะให้อยู่ในหน้าที่ราชการระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาจะเป็นการเสียหาย
แก่ราชการ จะสั่งให้พักราชการก็ได้
   ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งให้พักราชการ คือ
   (1) รัฐมนตรี สำหรับข้าราชการอัยการทุกชั้น
   (2) อธิบดี สำหรับข้าราชการอัยการซึ่งได้รับเงินเดือนชั้น 1 และชั้น 2
   การให้พักราชการนั้น ให้พักตลอดเวลาที่สอบสวนพิจารณา หรือตลอดเวลาที่คดียังไม่ถึงที่สุดเมื่อ
สอบสวนพิจารณาเสร็จแล้ว หรือคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้พักราชการมิได้กระทำความ
ผิดและไม่มีมลทิน หรือมัวหมอง ให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งให้พักราชการสั่งให้รับราชการตามเดิม
เงินเดือนของผู้ถูกสั่งให้พักราชการดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

   มาตรา 58 ข้าราชการอัยการผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือต้องหาว่ากระทำ
ผิดอาญา หรือถูกฟ้องคดีอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ แม้
ภายหลังผู้นั้นจะพ้นจากตำแหน่งข้าราชการอัยการไปแล้ว ก็อาจมีการสอบสวนหรือพิจารณาเพื่อลง
โทษ หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้เป็นไปตามลักษณะนี้ได้ เว้นแต่ข้าราชการอัยการผู้นั้นจะพ้นจาก
ตำแหน่งเพราะตาย

   มาตรา 59 โทษผิดวินัยมี 5 สถานคือ
   (1) ไล่ออก
   (2) ปลดออก
   (3) ให้ออก
   (4) งดบำเหน็จความชอบ
   (5) ภาคทัณฑ์
   การสั่งลงโทษข้าราชการอัยการในสถานไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกนั้น จะกระทำได้เมื่อได้
ดำเนินการสอบสวนพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 2 แห่งลักษณะนี้แล้ว

   มาตรา 60 การไล่ออกนั้นรัฐมนตรีหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีจะสั่งลงโทษ
ได้ เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงดังต่อไปนี้
   (1) ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
   (2) ทำความผิดอาญาและต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำ
โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
   (3) ต้องคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลาย
   (4) เปิดเผยความลับของทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
   (5) ละทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
หรือละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินเก่าสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
   (6) ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย และการขัดคำสั่งนั้นอาจเป็นเหตุให้เสีย
หายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
   (7) ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
หรือระเบียบของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง
   (8) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

   มาตรา 61 การปลดออกนั้น รัฐมนตรีหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีจะสั่งลงโทษ
ได้ เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องถูกไล่ออกจาก
ราชการ หรือถึงขนาดที่จะต้องไล่ออก แต่มีเหตุอันควรลดหย่อน

   มาตรา 62 การให้ออกนั้น รัฐมนตรีหรือผู้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีจะสั่งลงโทษ
ได้ เมื่อข้าราชการอัยการผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องถูกปลดออก
หรือถึงขนาดที่จะต้องถูกปลดออก แต่มีเหตุอันควรลดหย่อน
   ผู้ใดถูกสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรานี้ ให้มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญเสมือนว่าผู้นั้นลาออก
จากราชการ

   มาตรา 63 ข้าราชการอัยการผู้ใดกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง และผู้บังคับบัญชาสอบสวนพิจารณา
แล้วเห็นว่าสมควรลงโทษเพียงสถานงดบำเหน็จความชอบเป็นเวลาไม่เกินสามปี หรือถ้ามีเหตุสม
ควรปรานี จะลงโทษเพียงภาคภัณฑ์โดยจำให้ทำทัณฑ์บนไว้ด้วยหรือไม่ก็ได้ ก็ให้ผู้บังคับบัญชารายงาน
ตามลำดับถึงอธิบดีเพื่อเสนอ ก.อ. เมื่อ ก.อ. พิจารณาเห็นสมควรลงโทษสถานใด ก็ให้รายงาน
ไปยังรัฐมนตรีเพื่อสั่ง

   มาตรา 64 ในคำสั่งลงโทษ ให้แสดงว่าผู้รับโทษนั้นกระทำผิดวินัยในกรณีใดตามมาตราใด

   มาตรา 65 ถ้าปรากฏว่าคำสั่งลงโทษทางวินัยได้สั่งไปโดยผิดหลงให้รัฐมนตรีมีอำนาจแก้ไข
เปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้ จะต้องได้รับอนุมัติให้เป็นคุณแก่ผู้ถูกลงโทษได้ แต่การแก้ไขเปลี่ยนแปลง
เช่นว่านี้ จะต้องได้รับอนุมัติจาก ก.อ. ก่อน
   การแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งดังกล่าวในวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้ภายในกำหนดสองปีนับแต่วัน
สั่งลงโทษ

   มาตรา 66 ในส่วนที่เกี่ยวกับข้าราชการธุรการ ให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
พลเรือนในส่วนที่เกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนสามัญ มาใช้บังคับ
   ตำแหน่งข้าราชการอัยการใดเป็นตำแหน่งผู้บังคับบัญชาข้าราชการธุรการ โดยเทียบกับตำแหน่ง
ข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งใด ให้กำหนดโดยกฎ ก.พ.

   มาตรา 67 ให้กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งอยู่ในตำแหน่งในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะได้มีการเลือกกรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิตาม
พระราชบัญญัตินี้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 68 ผู้ใดเป็นข้าราชการอัยการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
พ.ศ.2503 อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผู้นั้นเป็นข้าราชการอัยการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ต่อไป โดยให้ได้รับเงินเดือนในอัตราเท่ากับเงินเดือนที่ได้รับอยู่ เว้นแต่ผู้ที่ได้
รับเงินเดือนไม่ถึงขั้นต่ำของชั้นตามบัญชีอัตราเงินเดือนท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือน
ขั้นต่ำของชั้นนั้น

   มาตรา 69 ผู้ใดเป็นข้าราชการธุรการสามัญตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
พ.ศ.2503 อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผู้นั้นเป็นข้าราชการธุรการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ต่อไป

   มาตรา 70 ผู้ใดเป็นข้าราชการธุรการวิสามัญตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
พ.ศ.2503 อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ผู้นั้นเป็นข้าราชการธุรการ
วิสามัญต่อไปและให้นำมาตรา 116 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518
มาใช้บังคับโดยอนุโลม

   มาตรา 71 ข้าราชการฝ่ายอัยการผู้ใดกระทำผิดวินัยในขณะที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
ฝ่ายอัยการ พ.ศ.2503 ใช้บังคับและผู้บังคับบัญชาได้สั่งให้ดำเนินการสอบสวนแล้ว ถ้าการสั่งและ
การสอบสวนพิจารณาที่ได้กระทำไปแล้วถูกต้องตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ให้ถือว่าเป็นอันสมบูรณ์
ถ้ากรณียังค้างระหว่างการสอบสวน ก็ให้ดำเนินการสอบสวนตามกฎหมายนั้นต่อไปจนกว่าจะเสร็จ
แต่การพิจารณาและการสั่งลงโทษให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 72 ผู้ที่ได้ยื่นใบสมัครเข้าเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยไว้ก่อนวันที่
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงถือคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ
พ.ศ.2503
   ผู้ที่ ก.อ. ได้ลงมติให้รับเข้าเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยได้ตามมาตรา 14
และผู้สอบคัดเลือกได้ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.
2503 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้คงมีสิทธิได้รับบรรจุเป็นข้าราชการอัยการและแต่งตั้งให้
ดำรงตำแหน่งอัยการผู้ช่วยต่อไป

   มาตรา 73 ในระหว่างที่ยังมิได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ที่จะได้ประกาศใช้
ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 มิให้นำความในมาตรา 39 (4) ใน
ส่วนที่เกี่ยวกับข้าราชการการเมืองมาใช้บังคับข้าราชการอัยการ

   มาตรา 74 เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาบรรจุบุคคลซึ่งเคยรับราชการและออกจากราชการ
ไปก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เข้ารับราชการ ให้ปรับเงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับอยู่ก่อนออกจาก
ราชการให้เข้าชั้นและขั้นตามบัญชีที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่กลับเข้ารับราชการ
   ในกรณีที่ผู้เข้ารับราชการเป็นผู้ซึ่งออกจากราชการก่อนมีการปรับอัตราเงินเดือนตามพระราช
บัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2507 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
ฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510  ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 360 ลงวันที่ 13 ธันวาคม
พ.ศ.2515 หรือพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2517 ให้ปรับ
เงินเดือนที่ผู้นั้นได้รับอยู่ก่อนออกจากราชการ ตามพระราชบัญญัติและประกาศนั้น ๆ เสียก่อน
แล้วจึงปรับเงินเดือนตามวรรคหนึ่ง
   ในกรณีที่มีการปรับเงินเดือนของผู้ที่กลับเข้ารับราชการตามวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้วยัง
ปรากฏว่าผู้เข้ารับราชการได้รับเงินเดือนไม่ถึงขั้นต่ำของชั้นตามบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการ
อัยการท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้ ก.อ. เป็นผู้พิจารณาว่าผู้นั้นสมควรได้รับการบรรจุในชั้นหรือขั้น
ใด ทั้งนี้ ก.อ.  จะกำหนดให้ได้รับเงินเดือนในชั้นที่ต่ำกว่าขั้นต่ำของชั้นเป็นกรณีเฉพาะรายก็ได้

   มาตรา 75 ข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ข้าราชการวิสามัญ หรือข้าราชการซึ่ง
อยู่ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือพนักงานเทศบาลที่ไม่ใช่พนักงานเทศบาลวิสามัญ
ซึ่งสอบคัดเลือก หรือทดสอบความรู้เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการ
ผู้ช่วยได้ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2503 และเจ้าสังกัดได้ทำความ
ตกลงกับกรมอัยการให้โอนมาบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยก่อนวันที่พระ
ราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้นับเวลาราชการหรือเวลาทำงานของตนในขณะที่เป็นข้าราชการ หรือ
พนักงานเทศบาลเป็นเวลาราชการของข้าราชการอัยการตามพระราชบัญญัตินี้ด้วย

   มาตรา 76

   มาตรา 76 ในระหว่างที่ยังมิได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
กฎหมายว่าด้วยเงินเดือนของข้าราชการผู้ถูกสั่งพักราชการ และกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวข้า
ราชการ พนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล และพนักงานองค์การของรัฐเพื่อให้มีผลบังคับรวม
ถึงข้าราชการฝ่ายอัยการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าข้าราชการฝ่ายอัยการเป็นข้าราชการตาม
กฎหมาว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กฎหมายว่าด้วยเงินเดือนของข้าราชการผู้ถูกสั่งพัก
ราชการและกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวข้าราชการ พนักงานเทศบาล พนักงานสุขาภิบาล และ
พนักงานองค์การของรัฐอยู่ต่อไป

   มาตรา 77 ในระหว่างที่ยังมิได้ตราพระราชกฤษฎีกา ออกกฎกระทรวง กฎ ก.พ. ข้อกำหนด
ข้อบังคับ ระเบียบ หรือประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำพระราชกฤษฎีกา กฎ
กระทรวง กฎ ก.พ. ข้อบังคับ ระเบียบ หรือประกาศที่ใช้อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษามาใช้บังคับโดยอนุโลมเพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก  เกรียงศักดิ์ ชมะนันทร์
    นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2503 ได้ใช้บังคับมานานแล้ว แม้จะได้ปรับปรุงแก้ไขมาหลายครั้ง
ก็ยังมีบทบัญญัติหลายมาตราไม่เหมาะสมกับกาลสมัย และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการบริหารงาน
บุคคลในปัจจุบัน สมควรจะได้ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่ อันจะทำให้ราชการของกรมอัยการดำเนิน
ไปได้ผลดียิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น
( ร.จ.  เล่ม 95 ตอนที่ 59 หน้า 42   31 พฤษภาคม 2521)

                     บัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการอัยการ
                           บาท
ขั้น                12      9885
ขั้น             12 11      8410
ขั้น          12 11 10      8950  บาท   บาท
ขั้น       12 11 10  9      8505 13900 15330
ขั้น    12 11 10  9  8      8075 13245 14600  บาท
ขั้น 12 11 10  9  8  7      7660 12650 13900 16095
ขั้น 11 10  9  8  7  6      7260 12015 13245 15330  บาท
ขั้น 10  9  8  7  6  5  บาท 6875 11445 12650 14600 16900
ขั้น  9  8  7  6  5  4 5485 6505 10900 12015 13900 16095
ขั้น  8  7  6  5  4  3 5175 6150 10380 11445 13245 15330
ขั้น  7  6  5  4  3  2 4880 5810  9885 10900 12650 14600
ขั้น  6  5  4  3  2  1 4600 5485  9410 10380 12015 13900
ขั้น  5  4  3  2  1    4335 5175  8950  9885 11445 13245
ขั้น  4  3  2  1       4085 4880  8505  9410 10900 12650
ขั้น  3  2  1          3850 4600  8075  8950 10380 12015
ขั้น  2  1             3630 4335  7660  8505  9885 11445
ขั้น  1                3420 4085  7260  8075  9410 10900
    ก  ข  ค  ง  จ  ฉ ชั้น 1 ชั้น 2  ชั้น 3  ชั้น 4  ชั้น 5  ชั้น 6
       อัตรา                     เงินเดือน