พระราชบัญญัติ
                             น้ำมันเชื้อเพลิง
                               พ.ศ.2521
   ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
                    ให้ไว้ ณ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2521
                        เป็นปีที่ 33 ในรัชกาลปัจจุบัน
   พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ
ให้ประกาศว่า
   โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง
   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังต่อไปนี้

   มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2521"

   มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็น
ต้นไป

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2509

   มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
   "น้ำมันเชื้อเพลิง"  หมายความว่า  น้ำมันปิโตรเลียมดิบ น้ำมันเบนซิน น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ
เครื่องบิน น้ำมันก๊าด  น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันหล่อลื่น และผลิตภัณฑ ปิโตรเลียมอื่นที่ใช้เป็น
เชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่นกับทั้งให้รวมถึงน้ำมันหรือสิ่งอื่นที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น
และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
   "ผู้ค้าน้ำมัน"  หมายความว่า  ผู้กระทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยซื้อ  โดยสั่งหรือนำเข้า
มาในราชอาณาจักร  หรือได้มาไม่ว่าด้วยประการใด เพื่อจำหน่ายและให้หมายความรวมถึง
ผู้กลั่นหรือผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันปิโตรเลียมดิบหรือจากสิ่งอื่นด้วย
   "ปี"  หมายความว่า ปีปฏิทิน
   "พนักงานเจ้าหน้าที่"  หมายความว่า  เจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตาม
พระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช่บังคับแก่กระทรวง ทบวง กรม

   มาตรา 6 ผู้ใดจะเป็นผู้ค้าน้ำมันมีปริมาณการค้าแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่หนึ่ง
แสนเมตริกตันขึ้นไปต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี
   การขออนุญาตและการออกใบอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตด้วยก็ได้

   มาตรา 7 ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ส่งบัญชีตามแบบและรายการที่กำหนดในกฎกระทรวง
เกี่ยวกับปริมาณและสถานที่เก็บของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ที่ซื้อ
ที่กลั่น ที่ผลิต ที่ได้มา หรือที่มีไว้เพื่อจำหน่าย และทีเหลืออยู่ในแต่ละเดือนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ภายในวันที่สิบของเดือนถัดไป
   ให้ผู้ค้าน้ำมันอื่นนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ที่มีปริมาณการค้าแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิด
หรือรวมกันทุกชนิดแต่ละปีเกินจำนวนที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดส่งบัญชีตามแบบและรายการที่กำหนด
ในกฎกระทรวงเกี่ยวกับปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ที่ซื้อ
ที่กลั่น ที่ผลิต ที่ได้มา หรือที่จำหน่ายได้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในวันที่สิบของเดือนมกราคมของ
แต่ละปี
   ในกรณีที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเป็น
หนังสือ  หรือโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ผู้ค้าน้ำมันส่งบัญชีเกี่ยวกับปริมาณและสถานที่เก็บ
ของน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากที่ต้องส่งตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองอีกก็ได้
และให้ผู้ค้าน้ำมันส่งบัญชีดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันทราบคำสั่ง

   มาตรา 8 รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ส่งบัญชีตามแบบและ
รายการที่กำหนดในกฎกระทรวงเกี่ยวกับแผนการกลั่น ผลิต สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักร
หรือจำหน่ายซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงล่วงหน้าทุกสามเดือนได้

   มาตรา 9 ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดที่รัฐมนตรีกำหนดไว้ทุก
ขณะในสถานที่เก็บตามวรรคสี่ไม่ต่ำกว่าอัตราที่รัฐมนตรีกำหนดซึ่งต้องไม่เกินร้อยละสามสิบของ
ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ที่ซื้อ ที่กลั่น ที่ผลิต หรือที่ได้มาใน
ปีหนึ่ง
   ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ที่ซื้อ ที่กลั่น ที่ผลิต หรือที่ได้มา
ในปีหนึ่งจะมีจำนวนเท่าใด ให้ผู้ค้าน้ำมันกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรี หรือตามที่รัฐมนตรี
เห็นสมควร ปริมาณที่กำหนดนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อผู้ค้าน้ำมันร้องขอและรัฐมนตรีเห็นชอบด้วย
   การกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
   น้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองตามวรรคหนึ่ง จะเก็บไว้ ณ สถานที่ใดเป็นจำนวนเท่าใด ให้
ผู้ค้าน้ำมันขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรี

   มาตรา 10 ประกาศกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองตามมาตรา 9
วรรคสามให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กำหนดไว้ให้ใช้บังคับในประกาศนั้นซึ่งต้องมีระยะเวลาไม่น้อย
กว่าเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
   ความในวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับแก่การประกาศเปลี่ยนแปลงกำหนดอัตราน้ำมันเชื้อเพลิงที่
ผู้ค้า น้ำมันต้องสำรองซึ่งได้ประกาศไว้แล้วด้วย ในกรณีที่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลง
อัตราที่ได้ประกาศไว้แล้วให้สูงขึ้น
   การประกาศเปลี่ยนแปลชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองตามมาตรา 9
รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ค้าน้ำมันที่สำรองน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใดอยู่แล้วสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง
ชนิดนั้นต่อไปอีกโดยมีหรือไม่มีกำหนดเวลาก็ได้

   มาตรา 11 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือหรือโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ผู้ค้าน้ำมันงดจำหน่ายหรือ
ให้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งใด  รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองไว้ตามมาตรา 9 ได้
ในการนี้รัฐมนตรีจะกำหนดเงื่อนไขไว้ด้วยก็ได้

   มาตรา 12 เมื่อผู้ค้าน้ำมันร้องขอและแสดงหลักฐานให้เป็นที่พอใจแก่รัฐมนตรีว่ามีพฤติการณ์
เกิดขึ้นอันไม่ทำให้ผู้ค้าน้ำมันสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามอัตราที่กำหนดได้หรือการสำรองนั้น ๆ จะ
ทำให้ผู้ค้าน้ำมันต้องได้รับความเสียหายเกินสมควร ทั้งนี้  ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ให้รัฐมนตรี
มีอำนาจออกคำสั่งผ่อนผันเป็นการชั่วคราวตามระยะเวลาที่รัฐมนตรีเห็นสมควรมิให้ผู้ค้าน้ำมันต้อง
สำรองน้ำมันเชื้อเพลิง หรือลดอัตราหรือปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองลงตามที่เห็นสมควร
ตลอดระยะเวลานั้นได้
   ในกรณีที่รัฐมนตรีมีคำสั่งมิให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงในระยะเวลาใด มิให้นำความ
ในมาตรา 9 วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับแก่ผู้ค้าน้ำมันตลอดระยะเวลานั้น
   ในกรณีที่รัฐมนตรีมีคำสั่งให้ลดอัตราหรือปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองลงในระยะเวลาใด
ให้ถือว่าอัตราหรือปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่รัฐมนตรีมีคำสั่งเป็นอัตราที่ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองตาม
มาตรา 9 วรรคหนึ่งตลอดระยะเวลานั้น

   มาตรา 13 รัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใด ๆ ได้ตามที่เห็นสมควร
โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
   วันเริ่มมีผลใช้บังคับประกาศตามวรรคหนึ่งให้นำความในมาตรา 10 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
   เมื่อถึงกำหนดวันใช้บังคับประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคสองแล้ว ห้ามมิให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่าย
น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพต่ำกว่าคุณภาพที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เว้นแต่รัฐมนตรีจะผ่อนผันให้
เป็นการชั่วคราว

   มาตรา 14 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า "คณะกรรมการน้ำมันเชื้อเพลิง" ประกอบ
ด้วยปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานกรรมการผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการคลัง
ผู้แทนกระทรวงคมนาคม ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสำนักงาน
พลังงานแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมทะเบียนการค้า
เป็นกรรมการและเลขานุการ
   คณะกรรมการจะแต่งตั้งบุคคลใดเป็นผู้ช่วยเลขานุการก็ได้

   มาตรา 15 คณะกรรมการน้ำมันเชื้อเพลิงมีหน้าที่ให้คำปรึกษาให้ความเห็นและให้คำแนะนำ
แก่รัฐมนตรีในเรื่องดังต่อไปนี้
      (1) การออกกฎกระทรวงตามมาตรา 7 และมาตรา 8
      (2) การกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง
      (3) การกำหนดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ที่ซื้อ ที่กลั่น
ที่ผลิต หรือที่ได้มาตามมาตรา 9 วรรคสอง
      (4) การกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา 10 วรรคสาม
      (5) การกำหนดคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิงตามมาตรา
      (6) มาตรการต่าง ๆ ในการแก้ปัญหาและอุปสรรคของผู้ค้าน้ำมันในการสำรองน้ำมัน
เชื้อเพลิง
      (7) เรื่องอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีมอบหมาย

   มาตรา 16 การประชุมของคณะกรรมการน้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อย
กว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่
มาประชุมเป็นประธานในที่ประชุม
   การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก  กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งใน
การลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็น
เสียงชี้ขาด

   มาตรา 17 ให้คณะกรรมการน้ำมันเชื้อเพลิงมีอำนาจแต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อให้ทำกิจการ
หรือพิจารณาเรื่องใด ๆ อันอยู่ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของคณะกรรมการน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดจน
เชิญบุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง หรือแสดงความเห็นได้
   ให้นำความในมาตรา 16 มาใช้บังคับแก่การประชุมของคณะอนุกรรมการโดยอนุโลม

   มาตรา 18 เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบว่าได้มีการปฏิบัติถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้หรือ
ไม่ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสำนักงาน สถานที่กลั่น สถานที่ผลิต สถานที่เก็บ และ
สถานที่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมันในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกและให้
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจนำหรือสั่งให้ผู้ค้าน้ำมันส่งตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดหนึ่งชนิดใด
ครั้งละไม่เกินห้าลิตรมาเพื่อตรวจสอบได้ หรือส่งให้ผู้ค้าน้ำมันตรวจสอบปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิง
และรายงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ผู้ค้าน้ำมันต้องให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งต้อง
แสดงบัญชี เอกสาร และหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ
   ในการปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง  พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวเมื่อผู้ที่เกี่ยวข้องร้องขอ
   บัตรประจำตัวให้เป็นไปตามแบบที่กำหนดในกฎกระทรวง

   มาตรา 19 เมื่อปรากฏแก่รัฐมนตรีว่า ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ผู้ใดไม่สำรองน้ำมันเชื้อ
เพลิงไว้ตามชนิดและอัตราที่กำหนดตามมาตรา 9 เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันเกินสามสิบวัน
หรือเป็นระยะเวลาไม่ต่อเนื่องกัน แต่รวมกันแล้วเกินหกสิบวันในปีหนึ่ง ทั้งนี้ โดยไม่มีเหตุอัน
สมควรแก้ตัวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย รัฐมนตรีจะสั่งเพิกถอนใบอนุญาตให้เป็นผู้ค้าน้ำมันที่ออก
ให้แก้ผู้นั้นเสียก็ได้
   การสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นเหตุให้ผู้ค้าน้ำมันพ้นจากการที่จะต้องรับโทษ
ตามมาตรา 25

   มาตรา 20 ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ำมันมีปริมาณการค้าแต่ละชนิดหรือรวมกันทุกชนิด ปีละตั้งแต่หนึ่ง
แสนเมตริกตันขึ้นไปโดยมิได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 6 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 21 ผู้ค้าน้ำมันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ออกตามมาตรา 6 วรรคสองไม่ปฏิบัติตาม
คำสั่งหรือเงื่อนไขตามมาตรา 11 หรือฝ่าฝืนมาตรา 13 วรรคสาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
หกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 22 ผู้ค้าน้ำมันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 7 วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม หรือส่งบัญชีตาม
มาตรา 7 วรรคหนึ่งหรือวรรคสามโดยมีรายการอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

   มาตรา 23 ผู้ค้าน้ำมันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 7 วรรคสอง มาตรา 8 หรือมาตรา 9
วรรคสอง หรือจงใจไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้กำหนดตามมาตรา 9
วรรคสองต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทและปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งพันบาท จนกว่าจะ
ปฏิบัติให้ถูกต้อง

   มาตรา 24 ผู้ค้าน้ำมันผู้ใดจงใจไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบัญชีที่ได้ส่งต่อรัฐมนตรีตามมาตรา 8
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับ
อีกไม่เกินวันละหนึ่งพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

   มาตรา 25 ผู้ค้าน้ำมันผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 9 วรรคหนึ่งหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ออก
ตามมาตรา 10 วรรคสาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งแสนบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

   มาตรา 26 ผู้ใดไม่ยอมให้หรือไม่ยอมส่งตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่ยอมตรวจสอบปริมาณ
ของน้ำมันเชื้อเพลิง หรือไม่ให้ความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่  หรือไม่แสดงบัญชีเอกสารหรือ
หลักฐานตามมาตรา 18 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทและปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งพัน
บาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง

   มาตรา 27 ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดซึ่งต้องรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้เป็นนิติบุคคล
กรรมการผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้น  ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความ
ผิดนั้น ๆ ด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดของนิติบุคคลนั้น

   มาตรา 28 ให้บรรดาผู้ค้าน้ำมันซึ่งได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีตามมาตรา 5 แห่ง
พระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2509 และเป็นผู้ค้าน้ำมันซึ่งจะต้องได้รับใบอนุญาตตาม
พระราชบัญญัตินี้เป็นผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้

   มาตรา 29 ให้บรรดากฎกระทรวง ประกาศและคำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อ
พ.ศ. 2509  ซึ่งใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษายังคงใช้บังคับ
ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีกฎกระทรวงประกาศและ
คำสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

   มาตรา 30 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้  และให้มี
อำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้าย
พระราชบัญญัตินี้ และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
   กฎกระทรวงนั้น  เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
     นายกรัฐมนตรี
   หมายเหตุ:-เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ.2519 มิได้ควบคุมผู้ค้าน้ำมันซึ่งทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดหรือหลายชนิดรวมกันมีปริมาณต่ำ
กว่าปีละหนึ่งแสนเมตริกตัน ทำให้กระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถควบคุมและดำเนินคดีแก่ผู้ค้าน้ำมันดังกล่าว
ในกรณีที่ขายหรือผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่าคุณภาพที่กำหนดไว้ได้ นอกจากนั้นพระราชบัญญัติ
น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2519 ยังมีบทบัญญัติหลายประการที่ไม่เหมาะสมกับภาวะการณ์ของประเทศใน
ปัจจุบันในการควบคุมการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขและป้องกัน
การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเก็บตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิงมา
ตรวจสอบคุณภาพ หรือสั่งให้ผู้ค้าน้ำมันตรวจสอบปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิง อันจะเป็นผลต่อความมั่นคง
และความปลอดภัยของประเทศสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงเสียใหม่ จึงจำเป็นต้องตรา
พระราชบัญญัตินี้ขึ้น
(ร.จ. เล่ม 95 ตอนที่ 50 หน้า 1 11 พฤษภาคม 2521)

                            อัตราค่าธรรมเนียม
      (1) คำขอ                               ฉบับละ        100 บาท
      (2) ใบอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ำมัน                  ฉบับละ     20,000 บาท